30 มิ.ย. 67 - ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ย้ำ กกต. กำลังสร้าง 2 มาตรฐานคดียุบพรรค ชี้ทำผิดขั้นตอน ไม่เปิดโอกาสชี้แจงก่อนส่งศาลรัฐธรรมนูญ ยกคำวินิจฉัย ปี 53 ศาลรัฐธรรมนูญเคยปัดตกคำร้องยุบพรรคประชาธิปัตย์ เพราะ กกต. ทำผิดขั้นตอนเช่นกัน

image

          นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลงความคืบหน้าการต่อสู้คดียุบพรรคก้าวไกล ว่า วันนี้จะขอเน้นย้ำถึงกระบวนการยื่นคำร้องของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และทำให้กระบวนการยุบพรรคมีสองมาตรฐาน เพราะ กกต. อ้างว่าในกรณีของพรรคก้าวไกลใช้เพียงมาตรา 92 ก็สามารถยื่นศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรคได้ เพราะมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า ทั้งที่มาตรา 93 เขียนไว้ชัดเจนว่าต้องต่อเนื่องจากมาตรา 92 หากตีความอย่างเคร่งครัด คือ ไม่สามารถใช้แยกกรณีกันได้ หากใช้แยกกรณีกันเมื่อใดหมายความว่ามี 2 มาตรฐานในการยื่นยุบพรรคทันที บางพรรคที่อยากให้เร็วก็ใช้เฉพาะมาตรา 92 แต่พรรคใดที่อยากให้ช้าหน่อยก็ใช้มาตรา 92 ประกอบกับมาตรา 93 หากปล่อยให้ใช้แยกกันย่อมหมายความว่าจะเป็นการส่งพรรคก้าวไกลขึ้นทางด่วน แต่พรรคอื่นไปทางธรรมดา เป็น 2 มาตรฐานที่ต้องตั้งคำถามว่า กกต. สามารถใช้ดุลยพินิจเช่นนี้ โดยไม่ต้องมีการถ่วงดุลและมีส่วนร่วมได้ด้วยหรือ ดังนั้น พรรคก้าวไกลจึงยืนยันว่า กกต. ไม่สามารถตีความมาตรา 92 แยกออกจากมาตรา 93 ได้ ไม่เช่นนั้นจะเกิด 2 มาตรฐานทันที ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองใดก็ควรใช้มาตรฐานเดียวกัน และทุกพรรคการเมืองควรได้รับสิทธิในกระบวนการที่ กกต. กำหนดขึ้นมาเอง โดยต้องเปิดโอกาสให้พรรคที่ถูกร้องได้รับทราบข้อเท็จจริงและต่อสู้ทางกฎหมายในชั้น กกต. ไม่สามารถปล่อยให้การยุบพรรคมี 2 ช่องทางได้
          ขณะเดียวกัน เมื่อมาตรา 93 ระบุว่า กกต. ต้องรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำหนด เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2566 กกต. จึงออกระเบียบเกี่ยวกับการบังคับใช้มาตรา 92 และมาตรา 93 ขึ้น โดยสรุปได้ว่าต้องเปิดโอกาสให้ผู้ถูกร้องมีโอกาสรับทราบข้อกล่าวหาและโต้แย้งด้วยหลักฐานในชั้น กกต. ซึ่งระเบียบดังกล่าวทำให้คดียุบพรรคก้าวไกลกับคดียุบพรรคไทยรักษาชาติที่เกิดขึ้นก่อนการออกระเบียบดังกล่าวไม่เหมือนกัน
          เรื่องนี้ถูกตอกย้ำโดยเอกสารคำอธิบายกระบวนการที่ กกต. จัดทำขึ้นมาเองเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2566 ที่ระบุว่าในกระบวนการยื่นคำร้องยุบพรรคต้องเปิดโอกาสให้ผู้ถูกร้องได้รับทราบและมีโอกาสโต้แย้งพยานหลักฐานในชั้น กกต. ก่อนส่งศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ได้มีทางด่วนและทางธรรมดา ทุกอย่างต้องลงมาในกระบวนการเดียวกันทั้งหมด ไม่มีข้อใดที่ระบุว่าเพียงมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า ก็สามารถส่งศาลรัฐธรรมนูญได้โดยไม่ต้องเปิดโอกาสให้ผู้ถูกร้องโต้แย้งในชั้น กกต.
          นายพิธา กล่าวต่อไปว่า การทำคำร้องยุบพรรคก้าวไกลครั้งนี้ กกต. มีวัตถุคดีชิ้นเดียว คือ คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 ซึ่งพรรคก้าวไกลยืนยันว่าไม่ผูกพันกับการวินิจฉัยคดีนี้ ด้วยเหตุว่าเป็นคนละข้อหากัน เพราะคำวินิจฉัยที่ 3/2567 เป็นข้อกล่าวหาตามมาตรา 49 ของรัฐธรรมนูญ ส่วนคดีปัจจุบันเป็นข้อกล่าวหาตาม พ.ร.ป.พรรคการเมือง มาตรา 92 และมาตรา 93 นอกจากคนละข้อหากันแล้ว ความหนักของโทษก็ต่างกัน คือ สั่งให้เลิกการกระทำกับสั่งให้ยุบพรรคและตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค การที่ กกต. ออกมาแถลงว่าคำวินิจฉัยที่ 3/2567 เป็นเหตุผลอันควรเชื่อได้ว่าและเป็นวัตถุคดีเพียงหนึ่งเดียวที่ใช้ส่งศาลรัฐธรรมนูญ โดยไม่เปิดโอกาสให้พรรคก้าวไกลได้โต้แย้ง จึงเป็นวัตถุคดีที่ไม่มีน้ำหนักเพียงพอ
          นายพิธา แถลงต่อไปถึงความคืบหน้าล่าสุด ซึ่งสืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2567 ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้พรรคก้าวไกลทำบันทึกถ้อยคำภายใน 7 วัน เพื่อตอบ 2 คำถามสำคัญสำหรับใช้ในการนัดพิจารณาครั้งถัดไป คือ วันที่ 3 กรกฎาคม 2567 และการนัดคู่กรณีมาตรวจพยานหลักฐานวันที่ 9 กรกฎาคม 2567 สำหรับ 2 คำถามที่พรรคก้าวไกลได้รับมา คือ พรรคก้าวไกลได้โต้แย้งต่อ กกต. ในประเด็นที่พรรคไม่มีโอกาสชี้แจงในชั้นพิจารณาของ กกต. หรือไม่ และการกระทำตามข้อเท็จจริงตามคดี 3/2567 อาจเป็นปฏิปักษ์หรือไม่ โดยคำถามข้อที่ 1 คำตอบ คือ ในเมื่อพรรคก้าวไกลไม่มีโอกาสได้รับทราบข้อกล่าวหาและโต้แย้งในชั้น กกต. จะเป็นไปได้อย่างไรที่พรรคก้าวไกลจะเรียกร้อง กกต. ให้ทำตามกระบวนการ อีกทั้งยังไม่มีกฎหมายใดที่กำหนดหน้าที่ให้พรรคต้องโต้แย้งในกรณีที่ กกต. ไม่ทำตามกระบวนการ ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับกรณีที่มีความคล้ายคลึงกัน คือ คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ที่ 15/2553 ศาลรัฐธรรมนูญเองก็เคยยกคำร้องเพราะ กกต. ไม่ทำตามกระบวนการมาแล้ว ด้วยเหตุว่านายทะเบียนพรรคการเมืองไม่ได้ทำความเห็นส่งไปยัง กกต. ซึ่งเป็นความผิดพลาดทางเทคนิคที่น้อยกว่ากระบวนการยุบพรรคก้าวไกลวันนี้ด้วยซ้ำ แต่ศาลก็ยกคำร้อง ส่วนในคำถามที่ 2 พรรคก้าวไกลตอบไปว่า พรรคไม่สามารถตอบต่อศาลในชั้นนี้ได้ เพราะข้อกล่าวหาคำว่า การกระทำเป็นการล้มล้างและอาจเป็นปฏิปักษ์ เป็นคนละข้อกล่าวหากับคดี 3/2567 ที่กล่าวหาว่า ใช้เสรีภาพเพื่อล้มล้างฯ เพียงอย่างเดียว
          อย่างไรก็ตาม พรรคก้าวไกลยืนยันว่าการกระทำของพรรคก้าวไกลไม่อาจเป็นปฏิปักษ์ได้ แต่ในเมื่อเป็นคนละข้อหาและเป็นประเด็นใหม่ ก็ต้องเริ่มกระบวนการใหม่ในชั้น กกต. ให้ถูกต้องตามกฎหมายเสียก่อน แต่ในเมื่อ กกต. ปิดโอกาสใส่ พรรคก้าวไกลไม่ให้ไปชี้แจง ไม่มีช่องทางในการท้วงติง และในเมื่อเป็นประเด็นใหม่และขอบเขตใหม่ก็ต้องเริ่มต้นด้วยกระบวนการใหม่เท่านั้น

ทัดดาว ทองอิ่ม ข่าว / เรียบเรียง

ประมวลผลภาพ

วิดีโอ