นายนิกร จำนง ในฐานะอดีตเลขานุการคณะกรรมาธิการ(กมธ.)ร่วมกันพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ กล่าวถึงปัญหาการจัดทำแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า เมื่อพิจารณาตามข้อกฎหมายขณะนี้ จะมีความเกี่ยวข้องกับกฎหมาย 4 ฉบับที่ไม่สอดคล้องกัน หากมีการดําเนินการลักษณะตามกลไกเดิม จะไม่สามารถทําได้ ไม่สามารถมีการเลือกตั้งพร้อมกับตั้งคําถามที่หนึ่งและสอง ตามคําวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ อย่างที่ต้องการ เนื่องจากกฎหมายรัฐธรรมนูญ ยังเป็นปัญหา จากคําวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่กําหนดว่า ผู้ที่จะดําเนินการคือรัฐสภาเท่านั้น แต่เดิมทีที่จะมีการใช้กฎหมายประชามติ และให้รัฐบาลถามคําถามที่หนึ่ง ดังนั้น คําถามที่หนึ่งและสอง ต้องออกไปจากรัฐบาลเท่านั้น จะเป็นเพียงแค่มติคณะรัฐมนตรีไม่ได้ เพราะ ครม.มีหน้าที่ตามที่รัฐสภาให้ดําเนินการเท่านั้น
ขณะที่กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ตาม MOA ของพรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทย มีการตกลงว่า ต้องยุบสภา เมื่อครบ 120 วัน ซึ่งจะตรงกับวันที่ 31 มกราคม 2569 แต่เมื่อยุบสภาเสร็จแล้ว กฎหมายที่สองที่เป็นปัญหาอีกจะตามเข้ามา คือกฎหมายเลือกตั้ง ซึ่งได้กําหนดว่า หลังยุบสภา ต้องมีการเลือกตั้งภายใน 40-60 วัน ดังนั้น หากดูวันเลือกตั้งที่จะตกลงเป็นวันอาทิตย์ ซึ่งตรงกับวันที่ 29 มีนาคม 2569
ขณะนี้ จึงมีการคิดกันว่าคำถามที่ 1 และคำถามที่ 2 จะต้องเป็นไปตามรัฐสภาเท่านั้น ซึ่งจะมีการประชุมเรื่องกฎหมายอีก ในการประชุมร่วมรัฐสภา เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 และหมวด 15 ที่มี 3 ร่างนั้น จะถูกพิจารณาในวันที่ 14-15 ตุลาคม
สำหรับสภาพบังคับตามกฎหมายรอง สมมติว่าร่างแก้ไขผ่าน เพราะส่วนตัวเชื่อว่าผ่าน ก็จะมีการตั้งกมธ.วิสามัญในวันนั้น โดยใช้เวลาช่วงที่สภาปิดสมัยประชุมพิจารณา ก่อนที่สภาจะเปิดสมัยประชุมอีกวันที่ 12 ธันวาคม และสามารถประชุมครั้งแรกได้ วันที่ 17 ธันวาคม ซึ่งจะเท่ากับว่า วาระที่สองของร่างแก้ไข จะมีการพิจารณากัน วันที่ 22-23 ธันวาคม
นายนิกร กล่าหากที่ประชุมเห็นชอบในวาระสา ตามรัฐธรรมนูญกำหนดต้องมีการรอไว้ 15 วัน ซึ่งจะเป็นช่วงประมาณปลายเดือนธันวาคม จากนั้นจึงส่งไปที่ ครม. ซึ่งต้องดําเนินการตั้งแต่วันที่ได้รับหนังสือจากประธานรัฐสภาทันที โดยใช้กฎหมายเก่า เนื่องจากตอนนี้กฎหมายว่าด้วยการทําประชามติฉบับใหม่ยังไม่ได้ลงมา ส่วนตัวก็เชื่อว่า อาจจะลงมาทัน เท่ากับว่า วันที่มีมติ ครม. ยังจะต้องมีรัฐบาลอยู่ จึงจะสามารถมีมติดําเนินการทําประชามติได้ หากยุบสภาไปก่อน ก็จะมีมติไม่ได้ เพราะ ครม.รักษาการไม่มีอํานาจในการดําเนินการ ดังนั้น จึงจะไปใช้ในว่าด้วยกฎหมายว่า ให้ทำประชามติพร้อมการเลือกตั้งไม่ได้ เนื่องจาก ครม.ยังไม่มี เพราะหากยังไม่ยุบสภา ถือเป็นกลไกกฎหมายที่ซ้อนกันอยู่ และหากมีการกําหนดวันแล้ว ก็ยังต้องใช้ระยะเวลาถึง 90 วันอีก ซึ่งเวลาที่เหลือไปถึงวันเลือกตั้งนั้น ไม่เพียงพอ นับแล้วมีประมาณ 70 วันเท่านั้น
นายนิกร เสนอทางออกว่า ต้องมีการปรับระบบการประชุมใหม่ อย่างการพิจารณาในวันที่ 14-15 ตุลาคมนี้ คณะกมธ.วิสามัญที่ตั้งขึ้นมา ต้องประชุมกันถี่มาก เพื่อให้เสร็จก่อนเดือนธันวาคม ฉะนั้น จึงเรียกประชุมวิสามัญ เพื่อพิจารณาวาระสอง และสาม ให้การยุบสภาสามารถไปลงในวัน 29 มีนาคม 2569 ได้ แต่วันเวลาที่มีตามกฎหมายขณะนี้ ไม่สามารถดําเนินการถามคําถาม 4 คําถามได้เลย
ดังนั้น จึงอยากให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องพิจารณาเรื่องนี้ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นว่า สิ่งที่คาดหวังจะล้มทั้งยืนได้ เพราะยังมีกลไกกฎหมายอยู่ ตนเชื่อว่า จะถูกร้อง ขัดคําวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ขัดรัฐธรรมนูญ เกิดปัญหารอบตัว ถือว่ามีปัญหามากจริงๆ ขอให้ทุกฝ่าย ช่วยพิจารณาเรื่องนี้ ตนอยากให้ได้ตามนั้น อยากให้มีการเลือกตั้งพร้อมกับการถามคําถามที่หนึ่งและสอง เพื่อที่จะได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ในอนาคต ปี 70 จะได้กฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนฉบับใหม่ แต่ถ้ายังเป็นแบบนี้ จะมีไม่ได้ เพราะติดค้าง ติดขัด ติดกับของกฎหมายที่ไม่สอดคล้องกัน
นายนิกร จึงอยากให้มีมติเรื่องการตั้งคําถามที่หนึ่งโดยรัฐสภาไปเลย ก่อนที่จะมีการกำหนดวันเลือกตั้ง แต่ตามสภาพบังคับรัฐธรรมนูญ ก็ยังต้องส่งไปที่ ครม.อยู่ดี ง่ายที่สุด คือเปิดประชุมวิสามัญ และให้คณะกรรมาธิการวิสามัญประชุมสัปดาห์ละ 3 วัน ให้รีบทําให้เสร็จก่อนกลางเดือนพฤศจิกายน ย้ำว่า การเปิดประชุมสมัยวิสามัญนั้น ทําได้ เพราะหากดึงไปอีก จะชนกับการเปิดประชุมสมัยสามัญเดิม วันที่ 12 ธันวาคม ซึ่งควรเป็นช่วงพิจารณาวาระสามแล้ว
อัญชิสา ก่อกิจฤกษ์ชัย ข่าว/เรียบเรียง
