ที่ประชุมวุฒิสภา ที่มีนายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม โดยมีวาระพิจารณาเรื่องด่วน ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ล้มละลาย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรลงมติเห็นชอบแล้ว พลตำรวจตรี รุทธพล เนาวรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวชี้แจงหลักการและเหตุผลของการเสนอร่างกฎหมายดังกล่าวว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 ใน 4 ประเด็นหลัก เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไป โดยมีหลักการ คือ แก้ไขเพิ่มเติมจำนวนหนี้ของลูกหนี้ที่ร้องขอให้มีการฟื้นฟูกิจการในหมวด 3/1 กระบวนพิจารณาเกี่ยวกับการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ และแก้ไขเพิ่มเติมกระบวนการพิจารณาเกี่ยวกับการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ที่เป็นกิจการขนาดย่อม การกำหนดกระบวนการพิจารณาเกี่ยวกับการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้แบบเร่งรัด และการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ที่เป็นบุคคลธรรมดา ทั้งนี้ เนื่องจากการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ที่เป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่ง พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 ยังมีข้อจำกัดจึงจำเป็นต้องแก้ไขกฎหมายดังกล่าวเพื่อให้สามารถช่วยลูกหนี้ได้อย่างทั่วถึง รวมทั้งคุ้มครองเจ้าหนี้ ผู้ค้ำประกัน และบุคคลที่เกี่ยวข้อง มุ่งสร้างกลไกให้ลูกหนี้ที่เป็นกิจการขนาดย่อมสามารถเข่าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการได้เช่นเดียวกับการฟื้นฟูกิจการปกติ และมีขั้นตอนไม่ซับซ้อน โดยที่ลูกหนี้ยังคงเป็นผู้บริหารกิจการตามแผนฟื้นฟูกิจการ อีกทั้งได้กำหนดจำนวนหนี้ในการฟื้นฟูกิจการ ทั้งลูกหนี้ที่เป็นองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่และกิจการขนาดย่อม เพื่อให้สามารถร้องขอให้มีการฟื้นฟูกิจการ และสอดคล้องกับ รวมทั้งเพิ่มเติมกระบวนการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้แบบเร่งรัดเพื่อใช้เป็นทางเลือกให้แก่ลูกหนี้ทั้งสองลักษณะดังกล่าวด้วย นอกจากนี้ เพื่อให้ลูกหนี้ที่เป็นบุคคลธรรมดา ซึ่งไม่อยู่ในสถานะที่จะชำระหนี้ แต่มีช่องทางที่จะฟื้นฟูสถานะทางการเงินให้กลับสู่สภาวะปกติได้มีโอกาสฟื้นฟูฐานะทางการเงินและเป็นทางเลือกให้เป็นช่องทางในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทที่อาจสามารถตกลงกันหรือประนีประนอมยอมความกันได้โดยไม่ต้องตกเป็นบุคคลล้มละลายจึงจำเป็นต้องตรา พ.ร.บ. ฉบับนี้
นายเศก จุลเกษร สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในฐานะเลขานุการคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกฎหมาย และการยุติธรรม วุฒิสภา กล่าวชี้แจงรายงานการพิจารณาศึกษา ร่าง พ.ร.บ.ล้มละลายฯ ของ กมธ. ว่า รายงานของ กมธ.การกฎหมายฯ เห็นด้วยกับการแก้ไขกฎหมายล้มละลาย พ.ศ.2483 ซึ่งบังคับใช้มานานแล้ว ซึ่งจำเป็นต้องต้องสร้างความสมดุลระหว่างสิทธิลูกหนี้และเจ้าหนี้ โดยเพิ่มช่องทางให้ลูกหนี้บุคคลธรรมดาสามารถฟื้นฟูฐานะได้นั้น จะต้องคำนึงถึงความสมดุลกับสิทธิของเจ้าหนี้ด้วย โดยต้องไม่ทำให้หลักประกันของเจ้าหนี้ตามกฎหมายแพ่งหายไป เพราะอาจส่งผลกระทบต่อระบบการให้สินเชื่อในระยะยาวได้ อย่างไรก็ตาม กมธ. มีข้อกังวลถึงปัญหาหนี้ครัวเรือนและวินัยทางการเงิน เนื่องจากร่างกฎหมายนี้ ไม่สามารถนำไปบังคับใช้กับ “หนี้นอกระบบ” ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของหนี้ครัวเรือนได้ และหากรัฐต้องการแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง ควรพิจารณาตราเป็นกฎหมายฉบับใหม่แยกต่างหาก นอกจากนี้ยังเตือนว่าการฟื้นฟูหนี้บุคคลธรรมดาอาจทำให้วินัยทางการเงินของประชาชนลดลง และปริมาณคดีในศาลเพิ่มขึ้นมาก
นายพละวัต ตันศิริ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในฐานะเลขานุการคณะ กมธ.การพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา กล่าวชี้แจงรายงานการพิจารณาศึกษา ร่าง พ.ร.บ.ล้มละลายฯ ของ กมธ. ว่า กมธ. เห็นด้วยกับหลักการแก้ไขกฎหมายใน 4 ประเด็นหลัก ประกอบด้วย การปรับเกณฑ์หนี้ของธุรกิจขนาดใหญ่ การเพิ่มกระบวนการฟื้นฟูสำหรับ SME และลูกหนี้รายย่อย การเพิ่มกระบวนการแบบเร่งรัด และการเพิ่มกระบวนการฟื้นฟูสำหรับบุคคลธรรมดา ทั้งนี้ จากสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันมีความน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เนื่องจากมีลูกหนี้ในระบบที่เป็นหนี้เสีย (NPL) เกือบ 5.3 ล้านราย คิดเป็นมูลหนี้กว่า 1.2 ล้านล้านบาท ในจำนวนนี้ มีประมาณ 1.9 ล้านรายที่มีหนี้เกิน 1 แสนบาท ซึ่งหากไม่มีการแก้ไขกฎหมายเพื่อช่วยเหลือ กำลังซื้อของประชาชนจะลดลงและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม อย่างไรก็ตาม กมธ. เห็นว่าร่างกฎหมายฉบับนี้ช่วยเปิดโอกาสให้ ลูกหนี้ที่เป็น SME และบุคคลธรรมดาที่สุจริตสามารถเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูได้ และสำหรับผู้ประกอบธุรกิจ SME จะได้รับประโยชน์จากการพักการชำระหนี้ (Stay of Proceedings) ทันทีที่ยื่นเรื่อง ทำให้มีเวลาเจรจากับเจ้าหนี้ ขณะที่บุคคลธรรมดา เช่น เกษตรกร ข้าราชการ หรือผู้ประกอบการรายเล็ก จะได้รับการช่วยเหลือ ทำให้ครอบคลุมกลุ่มคนที่เปราะบางที่สุดในสังคม อย่างไรก็ตาม ร่างกฎหมายฉบับนี้ควรเพิ่มอำนาจให้ศาลในการอนุมัติแผนฟื้นฟูได้ แม้เจ้าหนี้บางส่วนจะไม่เห็นด้วย หากศาลพิจารณาแล้วเห็นว่ามีความเป็นธรรมและสมเหตุสมผล โดยเฉพาะในกรณีที่ลูกหนี้ได้พยายามเจรจาอย่างเต็มที่แล้ว แต่เจ้าหนี้ไม่ยอมร่วมมือ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
ขณะที่สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ส่วนใหญ่อภิปรายในทิศทางเห็นด้วยกับหลักการของร่างกฎหมายฉบับนี้ว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งในภาวะที่ประเทศกำลังเผชิญกับ “มรสุมหนี้” การปฏิรูปครั้งนี้จึงเป็นการเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากกฎหมายที่ตีตราลงโทษผู้พ่ายแพ้ไปสู่กฎหมายที่มุ่งให้โอกาส โดยนางสาวภิญญาพัชญ์ ศันสนียชีวิน สว. กล่าวอภิปรายว่า กฎหมายนี้ ช่วยยกกระดับกระบวนการยุติธรรมทางเศรษฐกิจซึ่งจะช่วยคืนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ให้แก่ลูกหนี้บุคคลธรรมดา และให้ความสำคัญกับ SME ซึ่งเปรียบเสมือนกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจไทยและยังเป็นทิศทางที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากลที่ยึดหลัก “การให้โอกาสครั้งที่ 2 (Second Chance)”แก่ลูกหนี้ที่สุจริต เช่นเดียวกับนางสาวอัจฉรพรรณ หอมรส สว. ระบุว่า ร่างกฎหมายฉบับใหม่ เปรียบเหมือน “เชือกกู้ชีวิต” ให้ผู้ที่สุจริตได้กลับมาสร้างงานและสร้างรายได้ให้สังคมอีกครั้ง
ภายหลังจาก สว. อภิปรายอย่างกว้างขวางแล้ว ที่ประชุมวุฒิสภา ลงมติรับหลักการแห่ง ร่าง พ.ร.บ.ล้มละลาย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ไว้พิจารณาด้วยคะแนนเสียง เห็นด้วย 151 เสียง ไม่เห็นด้วยไม่มี งดออกเสียง 2 เสียง และมีมติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นคณะหนึ่งเพื่อพิจารณา จำนวน 21 คน และกำหนดเวลาแปรญัตติภายในกำหนด 7 วันทำการ
ณัฐพล สงวนทรัพย์ ข่าว/เรียบเรียง