4 มี.ค.67 – สว.นพ.อำพล ตั้งกระทู้ถามผลกระทบจากนโยบายลดภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ย้ำรัฐบาลต้องศึกษาผลกระทบทางสังคมและสุขภาพอย่างรอบด้าน ด้าน รมช.กระทรวงการคลัง แจงต้องการยกระดับสุราพื้นบ้านให้ได้มาตรฐานสากลเทียบเคียง โซจู หรือสาเก ของต่างประเทศ มั่นใจช่วยลดแรงจูงใจลักลอบนำเข้าสุราผิดกฎหมาย และควบคุมราคาสุราพื้นบ้านได้

        นพ.อำพล  จินดาวัฒนะ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ตั้งกระทู้ถามเป็นหนังสือถามนายเศรษฐา  ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เรื่อง ผลกระทบจากนโยบายลดภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ว่า ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเมื่อวันที่ 2 ม.ค.67 เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ โดยปรับลดภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บางประเภท ได้แก่ กลุ่มสุราแช่พื้นบ้าน กลุ่มสุราแช่ พวกหมักผลไม้ที่ผสมสุรากลั่นและกลุ่มไวน์ ได้แก่ ไวน์ผลไม้และไวน์องุ่น ด้วยเหตุผลเพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ คือ ให้มีการบริโภคมากขึ้นและส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยก่อนหน้านี้รัฐบาลได้ออกนโยบายขยายเวลาเปิดสถานบริการถึงเวลา 04.00 น. เพื่อให้นักท่องเที่ยวมีเวลาสังสรรค์ดื่มกินยาวนานขึ้นส่งผลให้เกิดผลกระทบทางลบตามมา อาทิ การเจ็บป่วย เสียสุขภาพ เสียชีวิตก่อนวัยอันควร อุบัติเหตุและปัญหาสังคมอื่น ๆ ตามมา ทำให้รัฐต้องแบกรับค่าใช้จ่ายด้านสังคมเพิ่มขึ้นในระยะยาว ดังนั้น นโยบายสาธารณะที่ดี (Health Public Policy) ควรเป็นนโยบายที่เป็นกุศล 3 ประการ คือ 1. สร้างนโยบายด้วยฐานข้อมูลและความรู้ที่สังเคราะห์รอบด้าน 2. สังคมมีส่วนร่วมกำหนดนโยบายที่โปร่งใสและเป็นระบบ 3. มีศีลธรรม ถูกต้องชอบธรรม เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของคนทั้งมวล ไม่แฝงเร้นผลประโยชน์กลุ่มใด ตนขอสอบถามว่า รัฐบาลมีการศึกษาผลดี-ผลเสีย และมีระบบติดตามผลกระทบของนโยบายดังกล่าวอย่างรอบด้านหรือไม่ รวมทั้งมีมาตรการป้องกันและแก้ปัญหาผลกระทบที่เกิดจากนโยบายดังกล่าวอย่างไร

        นายกฤษฎา  จีนะวิจารณะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้เป็นผู้ตอบกระทู้ถามแทน กล่าวว่า นโยบายลดภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้น รัฐบาลต้องการส่งเสริม สุราพื้นบ้านให้ไปสู่ระดับสากล ส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน ตลอดจนวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นของไทย โดยกระทรวงการคลังได้ปรับปรุงอัตราภาษีสุราพื้นบ้าน ซึ่งเป็นสินค้าคู่กับประเทศไทยมาเป็นระยะเวลานาน ควรได้รับการสนับสนุนให้เป็นที่รู้จักกับนักท่องเที่ยว มีการยกระดับมาตรฐานสุราพื้นบ้านโดยมีการตรวจวิเคราะห์โดยกรมสรรพสามิต เพื่อไม่ให้มีวัตถุหรือสารปนเปื้อน หรือเมทิลแอลกอฮอล์ เกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนด รวมทั้งต้องการยกระดับสุราพื้นบ้านให้ใกล้เคียงกับสุราที่เป็นที่นิยมในตลาดต่างประเทศ อาทิ โซจู หรือสาเก นโยบายดังกล่าวยังช่วยลดการลักลอบการผลิตสุราผิดกฎหมายและสุรานอกระบบก็สามารถเข้าสู่ระบบและจัดเก็บภาษีได้ ซึ่งปัจจุบันตลาดสุราพื้นบ้าน มีผู้บริโภคค่อนข้างจำกัด โดยกรมสรรพสามิต จัดเก็บภาษีได้เพียงปีละ 28 ล้านบาทเท่านั้น เมื่อเทียบการจัดเก็บภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหมดได้ปีละ กว่า 150,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งการปรับปรุงโครงสร้างภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นั้น กระทรวงการคลัง ยึดหลักสุขภาพ ความเท่าเทียม และเป็นธรรม ที่ผ่านมา การจัดเก็บภาษีไวน์ และฟรุตไวน์ รัฐบาลได้หารือกับหลายหน่วยงาน ทั้งสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข สภาอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการไวน์ ผู้นำเข้าไวน์ และสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยคาดว่าจะจัดเก็บภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้นถึง 900 ล้านบาทต่อปี และนำส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมสุขภาพ กองทุนกีฬา กองทุนสื่อ และกองทุนผู้สูงอายุ ส่วนภาษีจากไวน์ จัดเก็บได้เพียงร้อยละ 1.7 หรือ 2,500 ล้านบาทต่อปี ซึ่งการบริโภคไวน์เป็นเฉพาะกลุ่ม และจะเป็นการส่งเสริมในอุตสาหกรรมอาหาร นอกจากนี้ รัฐบาลได้เดินหน้าตรวจสอบสุราให้ได้มาตรฐาน จะช่วยลดแรงจูงใจลักลอบนำเข้าสินค้าสุราผิดกฎหมาย ก็จะช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบ ยกระดับสุราพื้นบ้านให้มีคุณภาพได้ และผู้บริโภคสามารถซื้อสุราพื้นบ้านในราคาที่เป็นธรรม

 

ณัฐพล  สงวนทรัพย์  ข่าว/เรียบเรียง

ประมวลผลภาพ

วิดีโอ