นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการเจรจาการค้า ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา โดยระบุว่า ไม่ใช่เพียงกระทรวงการคลังโดยเฉพาะ แต่มีนายพิชัย ชุณหวชิระ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นหัวหน้าคณะเจรจา ซึ่งมีนัดพูดคุย ทั้งตัวแทนสหรัฐฯ และพบปะภาคเอกชนของสหรัฐฯ ด้วย เพื่อสร้างความมั่นใจให้ได้ว่าการเจรจาจะบรรลุผลที่ดี
ส่วนข้อต่อรองหรือความได้เปรียบอย่างไรนั้น นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ไม่กล้าจะเปิดเผยให้ทราบก่อน เนื่องจากทุกประเทศที่จะเข้าสู่การเจรจา จะต้องลงนามในข้อตกลง “ไม่เปิดเผยข้อมูล” (Non-Disclosure Agreement) ตั้งแต่ต้น โดยยืนยันว่ารัฐบาลคำนึงถึงผลกระทบทั้งเชิงบวกและเชิงลบ ซึ่งเชิงลบจะต้องเกิดให้น้อยที่สุด โดยเฉพาะกับกลุ่มเปราะบางอย่างภาคการเกษตร
นายจุลพันธ์ เปิดเผยด้วยว่า ไม่กังวลเรื่องกระบวนการเจรจาล่าช้า เพราะเมื่อเข้าสู่กระบวนการเจรจาก็เริ่มนับหนึ่ง ดังนั้น คงจะไม่มีเหตุการณ์ที่กระบวนการเจรจาจะยืดเยื้อและใช้เวลานานออกไป จนกระทั่งมีผลกระทบในเรื่องการปรับอัตราภาษี เพราะไทยก็เร่งดำเนินการ อีกทั้งเมื่อดูท่าทีของสหรัฐฯ ไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่สหรัฐฯ ให้ความสนใจในข้อเสนอ และแสดงความมั่นใจมาว่ากระบวนการคงจะเดินหน้าได้อย่างเรียบร้อย
ส่วนพรรคเพื่อไทยได้เตรียมการรองรับคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ พรุ่งนี้ (1 ก.ค. 68) กรณี สว. ยื่นคำร้องให้พิจารณาถอดถอนนายกรัฐมนตรี จากกรณีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา หรือไม่ นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ไม่ได้เตรียมการใด ๆ เพราะมั่นใจ และยืนยันตามที่เคยให้สัมภาษณ์ไปแล้วว่า สิ่งที่นายกรัฐมนตรีสนทนากับสมเด็จฮุน เซน ไม่ได้เป็นสิ่งผิดปกติ เพราะว่าการโทรศัพท์พูดคุยกันระหว่างผู้นำประเทศถือเป็นเรื่องธรรมดา และสิ่งที่พูดไปก็ไม่ได้เป็นผลร้ายกับประเทศไทย ไม่ได้สูญเสียอะไรไป ทั้งเรื่องดินแดนหรือสิทธิสภาพ ไม่ได้มีอะไรที่ต้องห่วง ส่วนกระบวนการการยื่นตรวจสอบนั้น เป็นสิทธิที่ทำได้ตามรัฐธรรมนูญ มีกลุ่มที่ดำเนินการไปแล้ว เพราะฉะนั้นก็ไปอยู่ในชั้นพิจารณา ไม่ว่าจะเป็นศาลรัฐธรรมนูญหรือหน่วยงานอื่นใด โดยเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ และไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร รัฐบาลก็พร้อมจะรองรับผลที่จะเกิดขึ้น เพื่อที่จะพาประเทศเดินหน้าไปในภาวะแบบนี้ และหากศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้นายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่ ก็ต้องรอดู หากเกิดขึ้นจริงก็มีกรณีให้เห็นเป็นตัวอย่างอยู่แล้ว ทั้งพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา และนายเศรษฐา ทวีสิน ดังนั้น ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดใด ๆ
นายจุลพันธ์ ยืนยันด้วยว่า ไม่ว่ากรณีใด ๆ ก็จะไม่เกิดเดดล็อกทางการเมือง ซึ่งเข้าใจว่ามีการทูลเกล้าฯ รายชื่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ใหม่ไปแล้ว เป็นพระราชอำนาจโดยเต็ม และหากเกิดกรณีใด ๆ ครม. ก็สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างครบถ้วน ไม่เป็นปัญหา โดยภายใต้รัฐธรรมนูญ มีกลไกรองรับทุกกรณี และเชื่อมั่นว่าคำวินิจฉัยของศาลจะเป็นไปในทางบวก
ส่วนการเปิดอภิปราย ตามมาตรา 153 ของ สว. และ การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตามมาตรา 151 ของพรรคภูมิใจไทยนั้น นายจุลพันธ์ กล่าวว่า รัฐบาลเคยหารือกับวุฒิสภาแล้ว ว่าหากจะอภิปรายเรื่องสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชานั้น เป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก วุฒิสภาจึงตัดสินใจยังไม่ยื่น แต่หากพิจารณาใหม่ก็จะต้องหารือกัน หากได้ข้อสรุป รัฐบาลก็พร้อมอยู่แล้ว แต่หากเป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อน เช่น กรณีไทย-กัมพูชา ก็ต้องพิจารณาว่ามีประเด็นใดที่อ่อนไหวหรือไม่ อาจต้องใช้กลไกอื่นแทน เช่น การประชุมลับ ก็ต้องรอดู
ส่วนกรณีที่พรรคภูมิใจไทยจะขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น อย่างแรกต้องดูจังหวะเวลา ซึ่งสัปดาห์นี้ก็เปิดประชุมสภาฯ แล้ว และต้องเข้าชื่อ 1 ใน 5 คือ สมาชิก 99 คน เข้าใจว่ายังไม่ครบ โดยมองว่าโจทย์ของพรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทยนั้นต่างกัน แต่ยืนยันว่ารัฐบาลมีความพร้อม และมองว่าเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำ ถือเป็นการเปิดเวทีให้รัฐบาลได้ชี้แจง เชื่อว่านายกรัฐมนตรีและ ครม. เองก็พร้อมเช่นกัน
ส่วนผลโพลล่าสุดที่นายกรัฐมนตรี ตกมาอยู่อันดับ 5 ของผู้นำที่ได้รับความนิยมในสายตาประชาชนนั้น นายจุลพันธ์ มองว่า โพลนั้นจัดทำในช่วงที่ประชาชนมีอารมณ์ความรู้สึกไม่พึงพอใจเป็นพิเศษ ในช่วงที่คลิปเสียงสนทนาถูกเผยแพร่ออกมา แต่อย่างไรก็ตาม รัฐบาลพร้อมรับฟังเสียงประชาชน และจะนำไปปรับปรุงการทำงานให้ดียิ่งขึ้นในอนาคต
ทัดดาว ทองอิ่ม ข่าว / เรียบเรียง
