29 มิ.ย. 68 - "เทวฤทธิ์" มอง หลังพรรคภูมิใจไทยเป็นฝ่ายค้าน สว.เสียงข้างมาก จะเป็น "ผ้ากรองสีน้ำเงิน" กลั่นกรองเข้มร่างกฎหมายรัฐบาล พร้อมแนะนายกฯ ยุบสภา ให้ ปชช. มอบฉันทามติเดินหน้านโยบายใหม่ หลังนิติสงครามเป็นอุปสรรคทำได้ไม่เต็มที่

image

          นายเทวฤทธิ์ มณีฉาย สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ให้สัมภาษณ์ประเด็นกระบวนการในการกลั่นกรองกฎหมายต่าง ๆ ของวุฒิสภา หลังพรรคภูมิใจไทยเป็นฝ่ายค้าน ว่า มี 2 ประเด็น คือ ประเด็นแรก วุฒิสภา จะเป็น "ผ้ากรองสีน้ำเงิน" ในฐานะ สว. เสียงข้างมาก และสภาผู้แทนราษฎร มีพรรคภูมิใจไทยเป็นฝ่ายค้าน แม้จะไม่ได้เป็นพรรคฝ่ายค้าน อันดับ 1 แต่ก็มีบทบาทไม่น้อยในการกลั่นกรองกฎหมาย ขณะที่ฝั่งวุฒิสภา หากจะบอกว่า สว. กับพรรคภูมิใจไทย เป็นเนื้อเดียวกันก็คงจะไม่ได้ทั้งหมด 100% แต่หากพิจารณาจุดยืนหรือท่าทีในประเด็นสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องร่างกฎหมายนิรโทษกรรม การแก้รัฐธรรมนูญ หรืออ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่มักไปในทิศทางเดียวกัน อาจจะเป็นทัศนคติ ความเชื่อในสิ่งที่คล้ายกัน แต่ก็เป็นภาพที่สะท้อนออกมา ซึ่งผ้ากรองสีน้ำเงินนี้ จะมีบทบาทมากขึ้น โดยเฉพาะร่างกฎหมายต่าง ๆ จะถูกกลั่นกรองมากขึ้น อาจถูกคัดค้าน ท้วงติง วิพากษ์วิจารณ์ แต่ไม่แน่ใจว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร ในสถานการณ์ที่รัฐบาลเอง มีเสียงในสภาฯ ปริ่มน้ำ ห่างกับฝ่ายค้านเพียงหลักสิบเสียง และหากสองสภา มีความเห็นต่อร่างกฎหมายขัดแย้งกัน ต้องตั้งคณะกรรมาธิการร่วมกัน แต่หากยังขัดแย้งกันอีก หากเป็นกฎหมายเกี่ยวกับการเงิน สภาผู้แทนราษฎรสามารถนำร่างกฎหมายไปลงมติฝ่ายเดียวได้ ภายใน 10 วัน และหากเป็นกฎหมายทั่วไปต้องรอ 180 วัน ซึ่งการบังคับใช้กฎหมายอาจจะล่าช้าไปบ้าง ไม่เหมือนก่อนหน้านี้
          ส่วนอีกประเด็น คือ สถานการณ์ปัจจุบันของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ถูกกลไกนิติสงคราม ถูก สว. ใช้กลไกยื่นถอดถอนในเรื่องของมาตรฐานทางจริยธรรม เหมือนกรณีนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ดังนั้น ภาวะแบบนี้ ด้วยกลไกที่ สว. สามารถใช้เสียงเพียง 1 ใน 10 ของจำนวนสมาชิกที่มีอยู่ ร้องต่อประธานวุฒิสภา ส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญ และหากอนาคตมีความขัดแย้งมากขึ้น ก็อาจจะยื่นถอดถอนรัฐมนตรีคนอื่น ๆ ด้วย ซึ่งจะกลายเป็นว่าอำนาจที่บางคนอาจจะวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นอำนาจที่ไม่ยึดโยงกับประชาชนหรืออำนาจที่อยู่ภายใต้กลไกขององค์กรอิสระก็จะเพิ่มมากขึ้น แต่ว่าโจทย์อีกข้อหนึ่ง สว. เองก็เผชิญสถานการณ์ ที่เป็นทั้งผู้ร้องและผู้ถูกร้อง รวมทั้งยังเป็นผู้ที่ให้ความเห็นชอบกับองค์กรที่จะมีส่วนในการตัดสินหรือตรวจสอบตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายการเมืองหรือฝ่ายนิติบัญญัติ อย่างศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีทั้งที่ให้ความเห็นชอบและไม่เห็นชอบไปแล้ว โดยตนเคยขอให้ชะลอการพิจารณาให้ความเห็นชอบออกไปก่อน เพราะกังวลเรื่องหลักการขัดกันแห่งผลประโยชน์นี้ด้วย แต่ก็ไม่สำเร็จ โดยก่อนหน้านี้นายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี กรรมาธิการสามัญตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรม จริยธรรมของบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และนายวราวุธ ตีระนันท์ กรรมาธิการสามัญตรวจสอบประวัติฯ ของบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ลาออกไป ด้วยเหตุผลเพื่อความโปร่งใส โดยตนมองว่าเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม หวังว่ากรรมาธิการคนอื่น ๆ จะทำตาม
          นายเทวฤทธิ์ ยังมองว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้นนอกจากรัฐบาลที่อยู่ในภาวะเสียงปริ่มน้ำ กลไกนิติสงครามแล้ว นั่นคือ การส่งมอบนโยบายของรัฐบาลที่จะยากขึ้น แม้ที่ผ่านมาจะยากอยู่แล้วก็ตาม บางนโยบายได้รับฉันทามติหรือความเห็นชอบจากประชาชน จากการเลือกตั้ง เมื่อปี 2566 แล้วหรือไม่ อย่างอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ซึ่งไม่ได้อยู่ในนโยบายหาเสียงด้วยซ้ำ หรือดิจิทัลวอลเล็ต ที่ไม่ได้เป็นดิจิทัลทั้งหมด ดังนั้น เห็นว่าเมื่อกลไกต่าง ๆ เหล่านี้ ทำให้อำนาจในการส่งมอบนโยบายไม่สามารถทำได้เต็มที่ นโยบายที่จะเกิดขึ้นก็มีคำถามตามมาว่าผ่านกระบวนการให้ความเห็นชอบจากประชาชนแล้วหรือไม่ และหากย้อนกลับไปตั้งแต่การจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว จนถึงพรรคร่วมรัฐบาลหลัก อย่างพรรคภูมิใจไทยถอนตัว ซึ่งหลังทราบผลการเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2566 คงจินตนาการไม่ออกว่าสถานการณ์ของรัฐบาลจะเป็นแบบนี้ ดังนั้น จึงคิดว่าไม่มีอะไรจะเสีย หากจะยุบสภา เพื่อให้ประชาชนได้ส่งเสียงอีกครั้ง ให้พรรคการเมืองได้เสนอนโยบายใหม่ และจะได้อาณัติหรือความชอบธรรมในการดำเนินนโยบายเหล่านั้น ซึ่งเป็นโจทย์ที่น่าพิจารณาให้ประชาชนได้ตัดสินดีกว่าติดค้างกันอยู่แบบนี้ และหากศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้นายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่ จากคำร้องของ สว. ก็จะทำให้ไม่สามารถยุบสภาได้ และต้องรอต่อไปอีก

ทัดดาว ทองอิ่ม ข่าว / เรียบเรียง
แฟ้มภาพ

ประมวลผลภาพ

วิดีโอ