นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ประธานคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (วิปรัฐบาล) ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงกรณีการเตรียมตั้งรับของพรรคเพื่อไทย (พท.) ต่อกรณีวันพรุ่งนี้ (1 ก.ค. 68) ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัย ประเด็นคลิปเสียงของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับ สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ว่าผู้บริหารพรรคมีมาตรการรับมืออยู่แล้วส่วนตัวเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ ยังไม่ได้เดินทางเข้าพรรค เชื่อว่ามีการเตรียมความพร้อมไว้อยู่แล้วไม่ได้กังวลอะไร ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะมีผลทำให้นายกฯ ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ มองว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่แต่ละฝ่ายจะจินตนาการ ส่วนตัวมั่นใจว่าไม่มีอะไร นายกฯ มีความบริสุทธิ์ใจ
ต่อข้อถามถึงกรณีคะแนนนิยมของนายกฯ ตกไปอยู่อันดับที่ 5 นายวิสุทธิ์ ระบุว่าเมื่อมองข้อเท็จจริงแล้ว ผลโพลพี่ออกมาไม่ใช่โพลในปัจจุบัน แต่เป็นโพลในอดีตในช่วงที่เริ่มมีประเด็นคลิปเสียงนายกฯ ขณะนั้นประชาชนยังไม่เกิดความเข้าใจถึงจุดประสงค์ของนายกฯ แต่ขณะนี้ประชาชนเริ่มมีความเข้าใจมากขึ้น รับรู้ว่านายกฯ ทำเช่นนั้นไปเพราะอะไร และสิ่งที่นายกฯ พูดเช่นนั้นมีความจำเป็นอะไร ดังนั้นหลักการสำคัญของนายกฯ คือมีความห่วงใยประชาชนคนไทยที่อาศัยอยู่ในกัมพูชาทั้งหมด ซึ่งสิ่งที่กัมพูชาทำคือปิดด่านทั้งหมด ส่งผลให้คนไทยนับหมื่นคนไม่สามารถเดินทางกลับประเทศได้ จึงตั้งคำถามกลับไปว่าหากเกิดการปะทะกันระหว่างทหารฝ่ายไทยและกัมพูชา จะเกิดความเสียหายหรือไม่ และใครจะเป็นผู้คุ้มครองคนไทยที่อยู่ในกัมพูชาในขณะนั้น นอกจากนี้ประเด็นการเจรจาทางการทูตให้ขยายระยะเวลาเปิด - ปิดด่านชายแดน ตลอดจนการประกาศกฎอัยการศึก เป็นหน้าที่ของทหารไม่ใช่หน้าที่นายกฯ ดังนั้นจากคลิปเสียงการเจรจา สิ่งที่นายกฯ พูดเช่นนั้นไม่ได้หมายความว่านายกฯ จะยกแผ่นดินไทยให้ใครตามที่มีการสร้างวาทะกรรมของใครบางคน หากทำเช่นนั้นทหารคงไม่ยินยอมอย่างแน่นอน ขอให้ขบคิดว่าชายแดนทั้งหมดอยู่ภายใต้กฎอัยการศึก การดำเนินการใด ๆ กองทัพจะต้องเป็นผู้สั่งการ ขอย้ำว่าการเจรจาของนายกฯ เป็นการดึงเวลาเพื่อให้คนไทยในกัมพูชาได้กลับบ้าน อย่างปลอดภัย สิ่งที่สำคัญที่สุดขณะนี้คือปัญหาปากท้องของประชาชน เช่น จะทำอย่างไรให้ข้าวได้ราคาดี ขายยางพาราได้ราคาดี เรื่องเหล่านี้น่ากังวลยิ่งกว่าผลโพล ทั้งนี้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ที่กำลังจะเข้ามาต้องเร่งทำหน้าที่อย่างเต็มที่ หนุนให้เกิดการใช้ผลผลิตภายในประเทศก่อน เช่น มันสำปะหลัง เป็นต้น หากรัฐบาลสามารถสู้รบกับปัญหาปากท้องของประชาชนได้ เชื่อว่าคะแนนนิยมจะกลับมาดีเอง
เมื่อถามต่อไปถึงมุมมองการชุมนุมเมื่อวันที่ 28 มิถุนายนที่ผ่านมา นายวิสุทธิ์ กล่าวว่าเป็นเรื่องธรรมดาของการแสดงออกทางการเมือง โดยประเทศไทยมีการชุมนุมมาตลอดอยู่แล้ว ทั้งจำนวนผู้ชุมนุมหลักแสน และหลักหมื่น รัฐบาลต้องปล่อยให้มีการแสดงออก ไม่สามารถไปสกัดกั้นได้ ส่วนที่กลุ่มผู้ชุมนุมมองว่าการยุบสภาของรัฐบาลจะยังไม่ใช่ทางออก ไม่ใช่ทางแก้ปัญหา และกลุ่มผู้ชุมนุมมีจุดประสงค์อื่นนั้น นายวิสุทธิ์ ระบุว่าสิ่งที่ตนไม่ต้องการให้เกิดขึ้น คือการเรียกร้องให้เกิดการปฏิวัติรัฐประหาร นำพาประเทศชาติล้าหลังไปอีก 20 - 30 ปี ทั้งนี้เชื่อว่าทุกคนไม่ต้องการให้เกิดเช่นนั้น เมื่ออยู่ในการปกครองระบอบประชาธิปไตย ควรมีการเคลื่อนไหวผ่านองค์กรอิสระ ซึ่งขณะนี้ทราบว่ามีหลายฝ่ายที่ยื่นเรื่องถึงองค์กรอิสระแล้ว ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกฎกติกา แต่ไม่ใช่การเรียกร้องให้ทหารเข้ามาแทรกแซง ยืนยันว่าไม่จำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน
นายวิสุทธิ์ ยังตอบข้อถามสื่อมวลชนถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่าตนอาจจะเข้ามานั่งตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยกล่าวว่าจะต้องรอความชัดเจนในการประชุมพรรค วันที่ 2 กรกฎาคมนี้ ซึ่งผู้ที่มีความสามารถในพรรคมีจำนวนมาก ต้องรอฟังความเห็นสมาชิกพรรคเสียก่อน ตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎรยังเป็นของพรรค และไม่มีปัญหากับพรรคร่วมรัฐบาลพรรคอื่น ๆ ส่วนกรณีที่ขณะนี้รัฐบาลเป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำนั้น มองว่าจะไม่มีปัญหาในการพิจารณากฎหมายสำคัญ และในวันที่จะต้องมีการลงมติ ต้องขอความร่วมมือทุกฝ่ายอยู่แล้ว แม้กระทั่งรัฐมนตรียังต้องเดินทางมาร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎร ดังนั้นประเด็นนี้ตนไม่ได้กังวลอะไร
ณัฐเดช เอียดปุ่ม /ข่าว /เรียบเรียง