13 มิ.ย. 68 - ประธาน กมธ.การทหารฯ วุฒิสภา นำคณาจารย์ ผู้ทรงคุณวุฒิ ร่วมวิเคราะห์สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เน้นบทเรียนประวัติศาสตร์ ปัญหากฎหมายระหว่างประเทศ และยุทธศาสตร์ทางวัฒนธรรมของกัมพูชา หวังเสนอแนวทางให้รัฐบาลใช้ในการเจรจาอย่างรอบคอบและมีข้อมูลครบถ้วน 

image

           พล.อ. สวัสดิ์ ทัศนา ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา เป็นประธานเปิดกิจกรรมการ ถกแถลงเพื่อรักษาแผ่นดินไทย ในประเด็นเราจะรักษาแผ่นดินไทยอย่างไร ณ ห้องประชุม 406-407 ชั้น 4 อาคารรัฐสภา ฝั่งวุฒิสภา โดยคณะกมธ.จัดขึ้นเพื่อแสวงหาข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและเพื่อให้ได้มาสำหรับข้อมูลเพื่อให้รัฐบาลนำไปใช้แก้ไขสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา ที่เกิดกรณีข้อพิพาทอยู่ในขณะนี้ พล.อ. สวัสดิ์ กล่าวว่า นับตั้งแต่คณะกมธ.ได้แสดงบทบาทและหน้าที่ในการติดตามสถานการณ์ด้านความมั่นคงของชาติด้วยการออกแถลงการแสดงจุดยืนต่อสถานการณ์แนวชายแดนไทย - กัมพูชา โดยประณามการกระทำอันไร้ความจริงใจในฐานะเพื่อนบ้านของกัมพูชา และเรียกร้องให้รัฐบาลต้องดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพของแผ่นดินประเทศไทย เมื่อวันที่ 6 มิถุนายนที่ผ่านมา ต่อมาวันที่ 9 และ 10 มิถุนายน คณะกมธ.ได้เดินทางไปยังพื้นที่ปฏิบัติการของกองกำลังสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 ตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา ที่เกิดจากกรณีพิพาทในเขตจังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษและอุบลราชธานี เพื่อให้เห็นสภาพภูมิประเทศจริงและในการลงพื้นที่ได้พบปะแสดงความห่วงใยและให้กำลังใจแก่ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็ง อย่างไรก็ตามภายหลังได้พิจารณาอย่างรอบด้านแล้วพบว่าสถานการณ์แนวชายแดนไทย - กัมพูชา มีความซับซ้อนและสะสมความตึงเครียดมาเป็นเวลานาน คณะกมธ.จึงมีความเห็นว่าการดำเนินการใดๆที่เกี่ยวกับสถานการณ์ดังกล่าวควรกระทำด้วยความรอบคอบจึงได้เชิญคณาจารย์ และผู้ทรงคุณวุฒิ มาให้ความรู้และแสดงความคิดเห็นในขอบข่ายความเชี่ยวชาญ ประกอบด้วย นายวีรพันธุ์ มาไลยพันธุ์ อดีตคณบดี คณะโบราณคดีมหาวิทยาลัยศิลปากรถกแถลงในประเด็นปราสาททั้งหลายในพื้นที่ชายแดนไทย - กัมพูชา นายคำนูญ สิทธิสมาน อดีตสมาชิกวุฒิสภา อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และอดีตสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ถกแถลงในประเด็นมุมมองข้อกฎหมายและกระบวนการของศาลโลก รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์สาขาวิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถกแถลงในประเด็นปัญหาและการแก้ไขปัญหาชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน และ ผศ.ดร.วันวิชิต บุญโปร่ง อาจารย์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เป็นผู้ดำเนินรายการถกแถลง การอภิปราย และแสดงความคิดเห็น

            นายวีรพันธุ์ กล่าวย้อนถึงอดีตที่มีการรุกรานของประเทศฝรั่งเศสจนทำให้ประเทศไทยต้องเสียดินแดนฝั่งตะวันออกซึ่งปัจจุบันเป็นประเทศกัมพูชา จากนั้นจึงเกิดเป็นสนธิสัญญาการกำหนดการแบ่งเขตแดนระหว่างประเทศ ตามสภาพภูมิศาสตร์ชายแดนอีสานใต้ โดยสัญญาข้อที่ 3 มีความสำคัญเกี่ยวกับการปกป้องเขตแดนระบุไว้ว่า หากมีความประสงค์จะเปลี่ยนแปลงเส้นพรมแดนดังกล่าว ซึ่งได้ตกลงยินยอมกันไว้แล้วระหว่างไทยและกัมพูชา การแก้ไขเปลี่ยนแปลงจะต้องทำไม่ให้เป็นที่ล่วงล้ำเสียประโยชน์ของรัฐบาลสยาม นอกจากนี้ยังกล่าวถึงสันปันน้ำสนธิสัญญากับฝรั่งเศส ค.ศ.1904 และ 1907 เป็นสันปันน้ำที่ตั้งอยู่ของปราสาทต่าง ๆ ในพื้นที่ อาทิ ปราสาทตาเมือนธม และสันปันน้ำที่กั้นเขตแดนระหว่างเขมรสูงและเขมรต่ำ

           นายคำนูณ กล่าวถึงผลจากคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ ศาลโลก เมื่อ 63 ปีก่อน ซึ่งตัดสินให้ประเทศไทยสูญเสียปราสาทพระวิหาร โดยยึดตามแผนที่ที่ฝรั่งเศสจัดทำในปี ค.ศ. 1908 และถือว่าการแสดงออกของไทยที่ยอมรับแผนที่นั้นมีน้ำหนักกว่าสนธิสัญญา นำไปสู่การสูญเสียอธิปไตย จึงตั้งคำถามว่า การที่ศาลโลกใช้ กฎหมายปิดปากกับไทยนั้นสมเหตุสมผลหรือไม่ เพราะแม้คำพิพากษาจะมุ่งสู่สันติภาพตามเป้าหมายขององค์การสหประชาชาติ (UN) แต่ตลอด 63 ปีที่ผ่านมา กลับไม่ได้สร้างความยั่งยืนใด ๆ ปราสาทพระวิหารไม่อาจกลายเป็นพื้นที่เรียนรู้หรือแหล่งพัฒนาเศรษฐกิจ กลับก่อให้เกิดความขัดแย้งต่อเนื่อง มีการปะทะ สงครามย่อย ความสูญเสีย และการตัดความสัมพันธ์ทางการทูตถึง 2 ครั้ง ดังนั้นหากจะเปรียบคำพิพากษานี้ว่าเป็นฆาตกรเลือดเย็น มองว่าคงไม่เกินไป พร้อมชี้ถึงบทเรียนสำคัญที่ไทยต้องทบทวน ไม่ให้เกิดซ้ำอีก เช่น การต่ออายุการรับอำนาจศาลโลกในปี พ.ศ. 2493 การแสดงออกของเจ้าหน้าที่ไทยในเวทีระหว่างประเทศ การเปลี่ยนจุดยืนเรื่องแผนที่ในช่วงปี พ.ศ. 2530–2540 การประชุม JBC ครั้งที่ 2 ปี พ.ศ. 2543 ที่ไทยกลับไปยอมรับแผนที่เดิม การเกิดขึ้นของ MOU พ.ศ. 2543 และ TOR พ.ศ. 2546 ที่ต่อมาถูกประกาศว่ามีค่าเท่ากับสนธิสัญญา มติ ครม. ปี พ.ศ. 2552 ที่ให้ยกเลิก MOU พ.ศ. 2543 แต่ไม่ดำเนินการจริง และ คณะรัฐมนตรี (ครม.) ปี พ.ศ. 2557 กลับมติเดิมทั้งหมดนี้สะท้อนความไม่ต่อเนื่องของนโยบายไทย แตกต่างจากกัมพูชาที่มีจุดยืนมั่นคงและสม่ำเสมอ ไทยควรเตรียมข้อมูลให้พร้อมในการประชุม JBC ครั้งที่ 3 วันที่ 14 มิถุนายนนี้ เพราะการต่อสู้ไม่จำเป็นต้องพึ่งศาลโลก แต่ต้องอาศัยความชัดเจนและหนักแน่นบนโต๊ะเจรจา

          ด้าน รศ.ดร.ดุลยภาค กล่าวว่า หากวิเคราะห์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ช่องบก จ.อุบลราชธานี และท่าทีของนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา จะเห็นว่าพฤติกรรมของกัมพูชาไม่ส่งผลดีต่อเสถียรภาพและสันติภาพในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กัมพูชาเตรียมการและใช้ยุทธศาสตร์หลายขา กดดันประเทศไทยในหลายมิติได้เตรียมการอย่างดีในเรื่องของกฎหมายระหว่างประเทศ ปฏิบัติการทางวัฒนธรรม การอ้างสิทธิทางวัฒนธรรมและมรดกโลก เพื่อสร้างความได้เปรียบของประเทศกัมพูชา ทำอย่างไรก็ได้ให้รัฐกัมพูชามีอาณาเขตเพิ่ม ถือเป็นสิ่งที่กัมพูชาปรารถนาสูงสุดซึ่งพฤติกรรมของนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้แสดงออกว่ากัมพูชาจะต้องปกป้องอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมแม้ไม่ได้อยู่ในอาณาเขตของตนเอง หมายถึงการขยายอาณาเขตโดยเอาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมใส่เข้าไป หรือเป็นธงนำ หมายถึงการขยายอาณาเขตโดยดึงอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมใส่เข้าไป หรือเป็นธงนำ หมายถึงรัฐ ชุมชน สังคมใดสังคมหนึ่ง ดินแดนหนึ่ง หากมีรากวัฒนธรรมเช่นเดียวกับตน จะคิดว่าน่าจะเป็นของตน ซึ่งความคิดดังกล่าวถือเป็นอันตรายต่อมวลมนุษยชาติ

 

ณัฐเดช เอียดปุ่ม /ข่าว /เรียบเรียง

ประมวลผลภาพ

วิดีโอ