8 มิ.ย. 68 - สส.ศุภโชติ พรรคประชาชน ชี้หลักเกณฑ์การอนุญาตสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนฯ ต้องเปิดกว้างให้ทุกพื้นที่ ทุกธุรกิจ และทุกเทคโนโลยี ลดการผูกขาดภาคพลังงาน หยุดบิดเบือนการแข่งขัน-ปิดกั้นนวัตกรรม พร้อมเชิญชวนประชาชนแสดงความเห็นต่อหลักเกณฑ์ใหม่ ถึง 10 มิ.ย. นี้

image

          นายศุภโชติ ไชยสัจ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน โพสต์เฟซบุ๊กระบุถึงหลักเกณฑ์ในการอนุญาตสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนที่มีวัตถุประสงค์ผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เอง หรือจ้างผู้อื่นผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้ในกิจการตนเอง (IPS) ฉบับใหม่ ที่อยู่ระหว่างการเปิดรับฟังความคิดเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ว่า นับเป็นก้าวสำคัญในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีพลังงานและความต้องการเสรีภาพด้านไฟฟ้าของภาคเอกชน แต่ยังพบว่าหลักเกณฑ์ดังกล่าวขัดแย้งกับหลักการพื้นฐานของการแข่งขันเสรีและความเท่าเทียมของผู้บริโภค
          นายศุภโชติ ชี้ว่า การจำกัดสิทธิการผลิตไฟฟ้าไว้เฉพาะพื้นที่นิคมเท่ากับบิดเบือนการแข่งขัน โดยจำกัดสิทธิการดำเนินการผลิตไฟฟ้าด้วยรูปแบบที่ยืดหยุ่นและทันสมัย กำหนดให้การผลิตใช้เอง การผลิตโดยบุคคลที่สาม หรือการใช้พื้นที่ข้ามกรรมสิทธิ์หรือให้บริการแก่หลายกิจการ ทำได้ใน “พื้นที่เฉพาะ” เท่านั้น เช่น นิคมอุตสาหกรรม เขตประกอบการอุตสาหกรรม และสวนอุตสาหกรรม แม้จะเหมือนเปิดทางให้เอกชนสามารถลงทุนในพลังงานสะอาดเพื่อใช้เองได้ แต่ในความเป็นจริงนิคมส่วนใหญ่มีต้นทุนที่ดินสูง ไม่มีพื้นที่ว่าง และไม่เหมาะสำหรับโครงการอย่าง solar farm หรือ battery storage ส่งผลให้เอกชน โดยเฉพาะรายย่อยแทบไม่สามารถใช้ประโยชน์จากหลักเกณฑ์นี้ได้จริง ดังนั้น หลักเกณฑ์ดังกล่าวจึงสะท้อนถึงการกำกับดูแลที่ไม่เป็นกลางเชิงพื้นที่ เลือกใช้ “สถานที่ตั้ง” เป็นเกณฑ์กำหนดสิทธิ แทนที่จะใช้ “มาตรฐานทางเทคนิค” ที่โปร่งใสและเป็นธรรมมากกว่า
          นอกจากนี้ การปิดกั้นนวัตกรรมและผู้เล่นรายใหม่ ยังถูกกันไว้นอกเกม โดยรูปแบบธุรกิจสมัยใหม่ เช่น การซื้อขายไฟฟ้าแบบ Peer-to-Peer หรือกรณีลูกค้าผู้ใช้ไฟฟ้าขายไฟฟ้าคืนให้แก่ผู้ผลิตไฟฟ้า, การซื้อขายไฟฟ้าผ่านโครงข่ายของทางภาครัฐ (Third Party Access: TPA) ยังคงถูกกันไว้นอกกรอบอนุญาต และไม่ได้รับการส่งเสริมหรือรองรับในหลักเกณฑ์นี้ ทั้งที่ต่างประเทศ รูปแบบเหล่านี้ คือ เครื่องมือสำคัญในการสร้างพลังงานหมุนเวียนแบบกระจายศูนย์ ลดภาระโครงข่ายหลัก และส่งเสริมการแข่งขัน ซึ่งการอ้างว่าเพื่อไม่ให้กระทบระบบโครงข่ายเดิม กลายเป็นข้อจำกัดที่ทำให้ภาคธุรกิจและประชาชนต้องอยู่ภายใต้ระบบผูกขาดทางไฟฟ้าต่อไป ทั้งที่ความเป็นจริง มีเทคโนโลยีที่หลากหลายสามารถจัดการผลกระทบดังกล่าวได้ เช่น ระบบ smart inverter, battery storage, หรือ load balancing ดังนั้น จึงเสนอให้ปรับจาก “อนุญาตแบบจำกัด” เป็น “ส่งเสริมด้วยมาตรฐานทางเทคนิค”
          นายศุภโชติ ระบุว่า หาก กกพ. ต้องการควบคุมความเสี่ยงอย่างเหมาะสม ควรใช้เกณฑ์ทางเทคนิค เช่น grid connection code, safety protocol และ standard compliance เป็นเครื่องมือในการอนุญาต แทนที่จะใช้ “พิกัดที่ตั้ง” เป็นข้อกำหนดหลัก ขณะที่การเปิดให้ทุกรูปแบบของการผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เอง สามารถดำเนินการได้ในทุกพื้นที่ โดยมีข้อกำหนดที่โปร่งใสและเป็นธรรม จะทำให้ระบบพลังงานไทยแข่งขันได้จริง กระจายโอกาสทางเศรษฐกิจ และสอดคล้องกับเป้าหมายด้านพลังงานสะอาดที่ยั่งยืน เช่นเดียวกับการอนุญาตที่แท้จริง ควรเป็นการเปิดเสรี ไม่ใช่กำหนดเขตอภิสิทธิ์ ซึ่งหลักเกณฑ์ IPS ฉบับใหม่นี้ มีลักษณะของ “การอนุญาตแบบมีเงื่อนไขเฉพาะกลุ่ม” มากกว่าจะเป็นกติกาที่สร้างการแข่งขันอย่างเป็นธรรม ข้อจำกัดเชิงพื้นที่และข้อห้ามต่อรูปแบบธุรกิจสมัยใหม่ เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของระบบพลังงานกระจายศูนย์ และตอกย้ำความเหลื่อมล้ำทางโอกาสในภาคธุรกิจ อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนผ่านพลังงานไม่สามารถเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง หากยังมีเพียงบางกลุ่มในบางพื้นที่เท่านั้นที่ได้รับสิทธิพิเศษในการเลือกใช้พลังงานของตนเอง ดังนั้น หลักเกณฑ์ต้อง “เปิดกว้างให้ทุกพื้นที่ ทุกธุรกิจ และทุกเทคโนโลยี” บนหลักการเดียวกันอย่างเท่าเทียม
          ทั้งนี้ ตนจะนำเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 12 มิถุนายน นี้ และอยากเชิญชวนประชาชนแสดงความคิดเห็นต่อหลักเกณฑ์ IPS ฉบับใหม่ ผ่านเว็บไซต์สำนักงาน กกพ. ได้ที่ https://www.erc.or.th/th/listen-to-opinions/567 ภายในวันที่ 10 มิถุนายน นี้

ทัดดาว ทองอิ่ม ข่าว / เรียบเรียง
เพจเฟซบุ๊ก Supachot Chaiyasat - ศุภโชติ ไชยสัจ ข้อมูล / ภาพ

ประมวลผลภาพ

วิดีโอ