นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง ในฐานะประธานกรรมการพิจารณาศึกษาแนวทางการป้องกันและลดอุบัติเหตุเพื่อสร้างความปลอดภัยทางถนน นำคณะผู้แทนรัฐสภาไทย ศึกษาดูงานการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการสร้างความปลอดภัยบนท้องถนน ณ กระทรวงคมนาคม(Department for Transport : DfT) กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร
สำหรับ DfT เป็นหน่วยงานรัฐบาลของสหราชอาณาจักรที่รับผิดชอบด้านนโยบายและโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งทั่วประเทศอังกฤษ รวมถึงแนวทางการลดการบาดเจ็บและเสียชีวิตบนท้องถนน รายงานการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนพบว่า สหราชอาณาจักรมีผู้เสียชีวิต 24 คนต่อประชากร 1,000,000 คน ในขณะที่ไทยมีอัตราอยู่ที่ 254 คนต่อประชากร 1,000,000 โดยในปี ค.ศ. 2023 มีคนตายและบาดเจ็บสาหัสทั้งสิ้น 29,711 คน จากสถิติข้อมูล 10 ปีที่ผ่านมาของสหราชอาณาจักร การบาดเจ็บและเสียชีวิตมีการลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยช่วงอายุที่มีการเสียชีวิตมากที่สุดอยู่ระหว่าง 17 - 29 ปี ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย สาเหตุเนื่องมาจากการขาดความตระหนักรู้ถึงความปลอดภัยในการขับขี่ การใช้ความเร็วเกินกำหนด การใช้ยาเสพติด แต่เมื่ออายุมากขึ้น พบว่าอัตราการเสียชีวิตลดลง เมื่อผู้ขับขี่ที่มีช่วงอายุมากขึ้น ระหว่าง 51-85 ปี เพศหญิงกลับเสียชีวิตมากกว่าเพศชาย
ทั้งนี้ มีอัตราการเสียชีวิตจากการขับขี่รถยนต์มากที่สุด เมื่อเทียบกับการขับขี่รถจักรยานยนต์ การเดินทางเท้า และรถจักรยาน ซึ่งอุบัติเหตุมักเกิดในเส้นทางชนบทมากกว่าในเมือง ในขณะที่ประเทศไทยมีอัตราผู้เสียชีวิตจากการขับขี่รถจักรยานยนต์มากที่สุด โดยผู้ขับขี่เป็นเพศชาย ผู้ที่อายุระหว่าง 30 - 59 ปี ยังคงเป็นช่วงวัยที่บาดเจ็บและเสียชีวิตมากที่สุด ปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ ได้แก่ อัตราความเร็ว พฤติกรรมของผู้ขับขี่และประสบการณ์ การขาดสมาธิและความตั้งใจในการขับขี่ ผู้ใช้รถโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต สภาพท้องถนน และสมรรถภาพของยานพาหนะ ดังนั้น เมื่อยังมีการเกิดอุบัติเหตุอย่างต่อเนื่อง DfT จึงจำเป็นต้องออกแบบระบบความปลอดภัย (Safe System )เพื่อปกป้องคนจากอุบัติเหตุมากขึ้น เพื่อให้ทุกองค์กรที่เกี่ยวข้องยึดถือปฏิบัติตาม โดยมี 5 เสาหลักเป็นแนวทางการปฏิบัติ ได้แก่ ผู้ใช้ถนนปลอดภัย ยานพาหนะที่ปลอดภัย อัตราความเร็วที่ปลอดภัย ถนนและข้างทางปลอดภัย และการดูแลหลังเกิดเหตุ ซึ่งมูลนิธิความปลอดภัยบนท้องถนน (Safety Road Foundation : SRF) ได้มีการดำเนินการทางความปลอดภัยทางถนนร่วมกับ DfT โดยเน้นเขตที่มีความเสี่ยงสูง รวมทั้งถนนที่อยู่ในชนบทและถนนที่เชื่อมระหว่างเมืองต่าง ๆ ที่เกิดอุบัติเหตุมากกว่าในเมือง โดยใช้ข้อมูลสถิติการชนที่รุนแรงจากกรมการขนส่ง มีการจัดการความปลอดภัยให้เหมาะกับถนนแต่ละสาย รวมถึงการปรับปรุงป้ายสัญลักษณ์ต่าง ๆ พื้นผิวถนน และช่องทางสำหรับรถจักรยาน โดยคาดว่าอัตราการเสียชีวิตจะลดลงในอีก 20 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ DfT ยังมีการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องยานยนต์ไร้คนขับ (Automated Vehicle) โดยพื้นฐานที่ว่า การเกิดอุบัติเหตุมักจะเกิดจากความผิดพลาดของผู้ขับขี่ และการไม่เคารพกฎจราจร ดังนั้น หากใช้ยานยนต์ไร้คนขับ ซึ่งมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาช่วย จะช่วยลดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้ จึงได้มีการดำเนินโครงการนี้และนำมาสู่การออกกฎหมายในปี ค.ศ. 2024 โดยมีองค์ประกอบสำคัญ คือ จะต้องเป็นระบบที่ไว้วางใจได้ ต้องมีการกำหนดกรอบเรื่องความปลอดภัย ต้องมีการทำประชาสัมพันธ์หรือการตลาดให้กับผู้ประกอบการ และต้องมีการออกใบอนุญาตให้บริการกับผู้ประกอบการ ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการดำเนินงานตาม Roadmap จากนั้น ผู้แทนจาก Driver and Vehicles Standards Agency (DVSA) ได้บรรยายสรุปเรื่องการกำหนดมาตรฐานของผู้ขับขี่และยานพาหนะ มีหลักการทำงาน 3 ข้อ ได้แก่ การทำให้ประชาชนมีความปลอดภัยในการใช้ถนนอย่างยั่งยืน การทำให้ประชาชนมียานพาหนะที่ปลอดภัยในการขับขี่ และการปกป้องประชาชนจากผู้ขับขี่และรถที่อันตราย ทั้งนี้ มีการทดสอบผู้ขับขี่ยานพาหนะทั้งทางภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติอย่างเข้มงวด โดยแต่ละปีจะมีการตรวจสอบรถอย่างละเอียดกว่า 30 ล้านคัน โดยเฉพาะรถบรรทุกและรถบัสซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงได้
สำนักความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ข้อมูล/ภาพ