ที่ประชุมคณะกรรมาธิการการทหาร โดยมี นายเอกราช อุดมอำนวย สส.กทม. พรรคประชาชน เป็นประธาน ได้เชิญ นายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือ กัน จอมพลัง พร้อมด้วย พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เข้าชี้แจงกรณีมูลนิธิกันจอมพลังบริจาคเสื้อเกราะและอุปกรณ์ป้องกันให้ทหารตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งทั้ง 2 คน ได้เข้าประชุม Video Conference ผ่านระบบ Zoom
นายกัน จอมพลัง ชี้แจงผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ว่า การดำเนินการของมูลนิธิเป็นเพียงการช่วยประสาน และจ่ายเงินให้บริษัทเอกชนตามคำขอของหน่วยงานในพื้นที่ โดยยืนยันว่าไม่ได้จัดซื้อด้วยตนเอง และไม่มีเจตนาเกี่ยวข้องกับการจัดหาอาวุธยุทธภัณฑ์ต้องห้ามมูลนิธิของผมเป็นเพียงตัวกลางที่ช่วยจ่ายเงินให้บริษัทเจ้าของสินค้าเท่านั้น ของทั้งหมดเป็นสิ่งที่หน่วยงานร้องขอมา ไม่ได้ซื้อมาเก็บไว้หรือค้ากำไร ซึ่งหน่วยปฏิบัติแนวหน้าอยู่ในพื้นที่ปะทะตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา จึงต้องการอุปกรณ์ที่เพียงพอและพร้อมใช้ ตนเห็นว่าเจ้าหน้าที่บางหน่วยไม่มีเสื้อเกราะที่เหมาะกับสถานการณ์ จึงอยากช่วยให้ปลอดภัยและปฏิบัติหน้าที่ได้เต็มที่
นายกันจอมพลัง ยังระบุว่า การบริจาคดังกล่าวเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่มีผลประโยชน์ตอบแทน และปฏิเสธข้อกล่าวหาว่าทำเกินขอบเขตหน้าที่ของภาคประชาชน ตนไม่ได้เข้าไปยุ่งในระดับยุทธการ เพียงแต่ร่วมแรงกับประชาชนในพื้นที่ เช่น ช่วยทำถนน หรือจัดหาอุปกรณ์ที่จำเป็นเร่งด่วนเท่านั้น
ด้าน นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวว่า หากพิจารณาตามหนังสือขอรับการสนับสนุน มูลนิธิคงทราบดีว่าเสื้อเกราะเป็นยุทธภัณฑ์ซึ่งเอกชนไม่สามารถจัดหาได้ตามกฎหมาย ภาวะสงครามไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นตลอดเวลา แต่เมื่อมีหนังสือตราครุฑจากหน่วยงานรัฐ ทุกคนย่อมอยากช่วย เพราะเข้าใจว่าทหารลำบาก นายวิโรจน์ตั้งข้อสังเกตว่า ประเด็นสำคัญอยู่ที่กองทัพไม่ใช่มูลนิธิ ถ้ากองทัพขอรับบริจาคยุทธภัณฑ์จากเอกชนเอง นั่นคือคำถามใหญ่ เพราะยุทธภัณฑ์เป็นของที่ต้องจัดซื้อผ่านงบประมาณรัฐเท่านั้น การบริจาคเสื้อผ้า อาหาร หรือสิ่งของจำเป็นเข้าใจได้ แต่เสื้อเกราะระดับการรบ ถือเป็นของที่มีข้อจำกัดทางกฎหมาย
นายวิโรจน์กล่าวย้ำว่า กมธ.ต้องตรวจสอบว่าการประสานงานเช่นนี้เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการหรือไม่ และมีการอนุญาตจากส่วนกลางของกองทัพหรือเปล่า เพราะอาจเป็นช่องทางให้เกิดการจัดซื้อโดยไม่โปร่งใสในอนาคต
ขณะที่ น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคประชาชน ตั้งคำถามเชิงลึกต่อ กัน จอมพลังโดยขอให้จัดส่งเอกสารทุกฉบับที่ใช้ประกอบการบริจาคเพื่อให้คณะกรรมาธิการตรวจสอบความถูกต้อง เพื่อความเป็นธรรมกับตัวกันจอมพลังเอง ควรให้ กมธ.เห็นเอกสารว่ามาจากหน่วยงานราชการจริงหรือไม่ มีทั้งหมดกี่รายการ กี่ฉบับ โดยหากสิ่งของเหล่านี้ถูกจัดสรรอยู่แล้วในงบประมาณของกองทัพ แต่กลับมีการใช้เงินมูลนิธิซื้อซ้ำ จะเข้าข่ายซ้ำซ้อนงบประมาณและอาจขัดต่อระเบียบการคลัง มองว่าไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะถ้ากองทัพโยกงบจากส่วนหนึ่งมาซื้อของที่มูลนิธิจัดให้ ก็อาจเข้าข่ายใช้เงินไม่ถูกวัตถุประสงค์ และจะเป็นปัญหาทั้งต่อมูลนิธิและหน่วยงานรัฐ
น.ส.รักชนก ยังเตือนว่า หากเปิดช่องให้เอกชนสามารถบริจาคยุทธภัณฑ์ได้โดยไม่ตรวจสอบที่มาอย่างเข้มงวด อาจกลายเป็นช่องทางแสวงหาผลประโยชน์หรือใช้ชื่อมูลนิธิบังหน้าในการซื้อขายยุทธภัณฑ์
ด้าน พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ชี้แจงต่อ กมธ.ว่า กองทัพบกไม่มีนโยบายให้หน่วยรับบริจาคเงินจากเอกชนโดยตรง แต่ในทางปฏิบัติ หน่วยระดับพื้นที่อาจมีการประสานขอรับสิ่งของบางอย่างเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงาน เช่น อาหารแห้ง หรือเครื่องมือพื้นฐาน ไม่ใช่อาวุธยุทธภัณฑ์ พร้อมย้ำว่า กองทัพบกไม่ได้ขาดแคลนเสื้อเกราะ โดยมีอยู่ในสต็อกกว่า 70,000 ตัว มาตรฐานระดับ 3+ ซึ่งเพียงพอต่อภารกิจในปัจจุบัน ส่วนเสื้อเกราะที่มูลนิธิมอบให้เป็น ระดับ 4 ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานทั่วไปอาจมีบางหน่วยเห็นว่าเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ชายแดนจึงรับไว้ใช้งาน แต่ไม่มีคำสั่งจากกองทัพบกให้ขอรับบริจาคหรือจัดหาเพิ่ม
พล.ต.วินธัย กล่าวอีกว่า กองทัพพร้อมให้ตรวจสอบข้อมูลทั้งหมด และยินดีส่งเอกสารการรับสิ่งของบริจาคให้ กมธ.ดู เพื่อยืนยันว่ากระบวนการเป็นไปอย่างโปร่งใส ซึ่งต้องการให้ประชาชนมั่นใจว่า ทุกอย่างอยู่ในกรอบระเบียบและไม่กระทบต่อภาพลักษณ์ของกองทัพ
ระหว่างการประชุม นายเอกราช อุดมอำนวย ประธาน กมธ. ย้ำว่าการตรวจสอบครั้งนี้ไม่ใช่การเอาผิดกับมูลนิธิหรือทหารชั้นผู้น้อย แต่เพื่อความชัดเจนว่ากองทัพดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ และเพื่อป้องกันปัญหาความซ้ำซ้อนในงบประมาณ พร้อมขอให้นายกันส่งเอกสารประกอบเพิ่มเติมโดยเร็ว
อัญชิสา ก่อกิจฤกษ์ชัย ข่าว/เรียบเรียง