นายชีวะภาพ ชีวะธรรม ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา เป็นประธานการประชุม โดยมีวาระพิจารณาศึกษาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรมแก่ราษฎร ซึ่งได้รับความเสียหาย หรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินการตามนโยบายของรัฐ ด้านที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ พ.ศ. .... ตามข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ. 2562 ข้อ 119 โดยเชิญผู้แทนหน่วยงานจาก กรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมที่ดิน รศ.วีระภาส คุณรัตนสิริ คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย อาจารย์ประจำภาควิชาการจัดการป่าไม้ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยที่ประชุมได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับหลักการและเหตุผลร่างกฎหมายฉบับนี้ เพื่อนิรโทษกรรมผู้กระทำผิดในคดีป่าไม้-ที่ดิน โดยให้มีกฎหมายว่าด้วยการนิรโทษกรรมแก่ราษฎรซึ่งได้รับความเสียหายหรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินการตามนโยบายของรัฐด้านที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ และที่สำคัญคือการออกคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 64/2557 อันนำมาสู่การตรวจยึดและจับกุมดำเนินคดีแก่ประชาชนจำนวนมาก กลายเป็นความขัดแย้งระหว่างรัฐกับประชาชนในชนบท ส่วนขอบเขตของการนิรโทษกรรมนั้น ครอบคลุมบุคคลที่ถูกดำเนินคดีหรือมีพฤติการณ์เข้าข่ายความผิดเกี่ยวกับการบุกรุก ยึดถือ ครอบครอง หรือทำลายพื้นที่ป่าไม้ ระหว่างวันที่ 30 มิ.ย41 ถึงวันที่กฎหมายฉบับนี้มีผลใช้บังคับจะได้รับการนิรโทษกรรม หากเข้าหลักเกณฑ์ใดหลักเกณฑ์ เช่น เคยทำประโยชน์ในที่ดินก่อนประกาศเขตป่า หรือได้รับความคุ้มครองตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) หรือคำสั่ง คสช. และผลของการนิรโทษกรรม คือ บุคคลที่เข้าข่ายจะได้รับการยกเว้นความผิดทั้งทางอาญา แพ่ง และปกครองโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นผู้กระทำการโดยตรง ผู้สนับสนุน หรือผู้ใช้ให้กระทำ
นายชีวะภาพ กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันคดีป่าไม้ จำแนกเป็น 2 กลุ่ม โดยพบว่าคดีส่วนใหญ่ 92.8% เป็นของประชาชนทั่วไป 26,373 คดี ครอบคลุมพื้นที่ 151,700 ไร่ คิดเป็น 48.3% ขณะที่คดีนายทุน/รีสอร์ท 2,045 คดี แต่ครอบคลุมพื้นที่ถึง 160,000 ไร่เศษ คิดเป็น 51.7% นอกจากนี้ คดีของนายทุนส่วนใหญ่ 1,782 คดี ครอบคลุมพื้นที่ 130,000 ไร่เศษ เป็นคดีที่ไม่มีตัวผู้กระทำผิด เนื่องจากผู้กระทำผิดหลบหนี อย่างไรก็ตาม ผู้แทนจากกรมอุทยานแห่งชาติฯ ไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมในลักษณะเหมาเข่ง เนื่องจากสุ่มเสี่ยงต่อการรับรองสิทธิให้ผู้กระทำผิดรายใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มนายทุนที่ครอบครองพื้นที่เกินขนาดที่กฎหมายกำหนดและไม่เข้าสู่กระบวนการพิสูจน์สิทธิ์ตามกฎหมายเดิม ทั้งที่มีช่องทางในการช่วยเหลือประชาชนผู้ยากไร้ไว้อยู่แล้วตามมาตรา 64 และมาตรา 122 ของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่นเดียวกับ ผู้แทนจากกรมที่ดิน ไม่เห็นด้วยกับการคืนสิทธิ์ในที่ดินให้แก่ผู้ที่เริ่มเข้าครอบครองหลังปี พ.ศ. 2497 ซึ่งไม่ได้แจ้งการครอบครองภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด และถือว่าไม่เข้าข่ายของการพลาดโอกาสตามกฎหมายเดิม นอกจากนี้ ยังไม่มีช่องทางกฎหมายที่ชัดเจนในการออกเอกสารสิทธิ์ให้แก่ผู้ที่สละสิทธิ์ไปแล้ว หากที่ดินนั้นอยู่ในเขตที่ดินของรัฐหรือมีการประกาศเขตทับซ้อน และในร่างกฎหมายนิรโทษกรรมยังไม่ได้กำหนดหน่วยงานรับผิดชอบในการพิสูจน์สิทธิ์ จึงก่อให้เกิดความไม่ชัดเจนในกระบวนการออกเอกสารสิทธิ์อย่างเป็นทางการ
ประธาน กมธ. ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา กล่าวถึงข้อสังเกตของ กมธ. ว่า กรณีประกาศเขตพื้นที่ของรัฐทับที่ทำกินของประชาชนทั้งที่ประชาชนอยู่มาก่อน ทำให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่นั้นกลายเป็นผู้ฝ่าฝืนกฎหมายนั้น จะมีแนวทางพิสูจน์ข้อเท็จจริงว่าประชาชนได้อยู่อาศัยหรือทำกินในพื้นที่ดังกล่าวมาก่อนการประกาศเขตป่าอย่างแท้จริงอย่างไร ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ไม่ควรเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่ทรัพยากรป่าไม้ของประเทศอยู่ในภาวะวิกฤตมีพื้นที่ป่าเหลืออยู่เพียง 31% และจะลดลงอีก ซึ่งต่ำกว่ามาตรฐานที่ควรจะเป็นถึง 10% และประเทศต้องสูญเสียงบประมาณหลายหมื่นล้านบาทและความทุ่มเทในการปลูก ดูแล ฟื้นฟูหมดไปในแต่ละปี ขณะที่การจับกุมคดีบุกรุกพื้นที่ป่าตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมา ได้ใช้ คำสั่ง คสช. ที่ 64 และ 66 เป็นเครื่องมือในการคัดกรองโดยมีวัตถุประสงค์ชัดเจนที่จะมุ่งเน้นการจับกุมนายทุนหรือผู้มีอิทธิพลและไม่จับกุมผู้ยากไร้
ณัฐพล สงวนทรัพย์ ข่าว/เรียบเรียง
คณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา ข้อมูล/ภาพ