นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง ในฐานะประธานกรรมการพิจารณาศึกษาแนวทางการป้องกันและลดอุบัติเหตุเพื่อสร้างความปลอดภัยทางถนน พร้อมด้วย นายนิกร จำนง อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ในฐานะประธานอนุกรรมการด้านประสานงานบริหารจัดการ รณรงค์และประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการป้องกันและลดอุบัติเหตุเพื่อสร้างความปลอดภัยทางถนน และคณะผู้แทนรัฐสภาไทย เข้าพบหารือกับผู้แทนจากมูลนิธิสหพันธ์ยานยนต์นานาชาติ ( FIA Foundation) โดยมี Mr. Saul Billingsley ผู้บริหาร FIA foundation ให้การต้อนรับและนำเสนอข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ระหว่างการเดินทางเยือนสหราชอาณาจักร 8-15 มิถุนายน 2568 เพื่อศึกษาแนวทางการส่งเสริมมาตรการความปลอดภัยบนท้องถนน และการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศทั้งสอง
โอกาสนี้ Mr. Bradford ได้แนะนำบทบาทของ FIA Foundation ในฐานะองค์กรการกุศลระดับนานาชาติด้านการคมนาคม ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงนโยบายของภาครัฐและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อยกระดับความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสนับสนุนการออกแบบโครงสร้างพื้นฐานด้านถนนให้มีความปลอดภัย การกำหนดมาตรการจำกัดความเร็ว และการพัฒนามาตรฐานความปลอดภัยของยานยนต์ โดยทั้งหมดนี้สอดคล้องกับแนวคิด "Safe System" ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของ FIA Foundation หลักการ Safe System มุ่งเน้นที่การออกแบบทางวิศวกรรมและการจัดการระบบขนส่งให้สามารถดำเนินได้ภายใต้ข้อจำกัดของมนุษย์ในความสามารถที่จะอดทนต่อความเจ็บปวดจากอุบัติเหตุทางถนน โดยมีเป้าหมายเพื่อป้องกันและลดการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ FIA Foundation ยังดำเนินความร่วมมือกับหน่วยงานระดับนานาชาติ ภูมิภาค และประเทศ โดยให้การสนับสนุนทางการเงินแก่โครงการที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยทางถนน เช่น โครงการศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้อง โครงการรณรงค์เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการใช้ยานพาหนะ ใช้ถนนอย่างปลอดภัย รวมถึงความปลอดภัยของผู้ใช้ทางเท้า และความร่วมมือกับองค์กรผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เช่น ความร่วมมือนานาชาติสำหรับโครงการการประเมินถนน (International Road Assessment Program: iRAP) นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมโครงการ Streets for Life ในประเทศต่างๆ ที่มุ่งรณรงค์ให้ใช้ความเร็วต่ำในเขตเมืองเพื่อลดความรุนแรงจากอุบัติเหตุ ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่าความเร็วที่สูงขึ้นสัมพันธ์กับโอกาสเกิดอุบัติเหตุที่รุนแรงมากขึ้น อีกหนึ่งกิจกรรมสำคัญของ FIA Foundation คือ การส่งเสริมให้ผู้ใช้รถจักรยานยนต์สวมหมวกนิรภัยที่ได้มาตรฐาน โดยมูลนิธิได้สนับสนุนโครงการและแคมเปญในหลายประเทศ เช่น เวียดนาม จาไมกา เม็กซิโก และเคนยา โดยมีผลสัมฤทธิ์ที่เป็นรูปธรรม อาทิ การจัดตั้งโรงงานผลิตหมวกนิรภัยตามมาตรฐานยุโรปในเวียดนาม การออกกฎหมายบังคับใช้หมวกนิรภัยใน 12 รัฐของเม็กซิโก และการบรรจุมาตรฐานหมวกนิรภัยไว้ในแผนความปลอดภัยทางถนนแห่งชาติของประเทศเคนยา สำหรับประเทศไทย FIA Foundation ได้ร่วมมือกับมูลนิธิป้องกันอุบัติภัยแห่งเอเชีย (Asia Injury Prevention Foundation: AIP Foundation) ดำเนินโครงการ Safe Guard ซึ่งมุ่งเน้นการส่งเสริมการใช้หมวกนิรภัยที่ได้มาตรฐาน โดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบาง และมีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนสวมใส่หมวกนิรภัยที่ได้มาตรฐานไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 ภายในปี พ.ศ. 2570 ข้อมูลจากงานวิจัยชี้ให้เห็นว่า การสวมหมวกนิรภัยที่ได้มาตรฐานจะสามารถลดความเสี่ยงการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุได้มากถึง 4 เท่า และลดการบาดเจ็บทางศีรษะได้ถึงร้อยละ 80 จึงได้มีข้อเสนอให้ปรับปรุงพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2565 โดยเพิ่มบทบัญญัติให้ผู้ขับขี่จักรยานยนต์ต้องใช้หมวกนิรภัยที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน พร้อมกันนี้ได้มีข้อเสนอให้รัฐมีโครงการจัดหาและแจกจ่ายหมวกนิรภัยมาตรฐานจำนวน 2,000,000 ใบ/ปีให้กับประชาชนกลุ่มเปราะบาง รวมถึงให้มีการติดตั้งกล้องตรวจจับผู้ไม่สวมหมวกนิรภัยในทุกจังหวัดทั่วประเทศ และรณรงค์ให้เกิดการตระหนักรู้ในระดับท้องถิ่นโดยส่งเสริมให้หน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่นจัดทำกฎระเบียบเพื่อส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัยในพื้นที่ของตน โดยเฉพาะการสวมหมวกนิรภัยให้กับเด็ก เพื่อปลูกฝังความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการป้องกันและลดอุบัติเหตุบนท้องถนนเมื่อเสร็จสิ้นการหารือ
โดย รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง ได้แสดงความชื่นชมต่อแนวทางการดำเนินงานของ FIA Foundation และ AIP Foundation ว่ามีข้อมูลที่เป็นประโยชน์และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการกำหนดนโยบายระดับชาติ พร้อมแสดงความเห็นว่า อุปสรรคสำคัญของประเทศไทยในการดำเนินงานด้านความปลอดภัยทางถนน คือ การขาดการบูรณาการระหว่างหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ส่งผลให้การดำเนินงานขาดความเป็นเอกภาพ ต่างคนต่างทำ เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว รัฐสภาไทยได้จัดตั้งคณะกรรมาธิการพิจารณาศึกษาแนวทางการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน (PACTS Thailand) เพื่อทำหน้าที่ขับเคลื่อนการสร้างระบบความปลอดภัยทางถนนอย่างเป็นระบบด้วยบูรณาการการทำงานของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าด้วยกัน และแสดงความประสงค์ขอรับข้อมูลทางวิชาการจาก FIA Foundation และ AIP Foundation มาใช้ประกอบการกำหนดนโยบาย พร้อมทั้งเรียนเชิญผู้แทนจาก AIP Foundation Thailand เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมาการฯ ดังกล่าวด้วย พร้อมได้เน้นย้ำว่า คณะกรรมาธิการพิจารณาศึกษาแนวทางการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนของรัฐสภา จะเป็นกลไกสำคัญระหว่างรัฐและประชาชนที่สามารถผลักดันมาตรการด้านความปลอดภัยทางถนนให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมแสดงความประสงค์ขอการสนับสนุนข้อมูลเกี่ยวกับเกณฑ์มาตรฐานในการผลิตหมวกนิรภัย เพื่อเผยแพร่ให้แก่ผู้ผลิตในประเทศไทย ให้สามารถผลิตหมวกนิรภัยที่ตรงตามมาตรฐานสากล และเสนอให้มีการเผยแพร่ข้อมูลมาตรฐานหมวกนิรภัยตั้งแต่ระดับพื้นฐานถึงระดับสูงสุด เพื่อให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจและสามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสมของตนเอง พร้อมกล่าวแสดงความขอบคุณผู้แทนจาก FIA Foundation และ AIP Foundation สำหรับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ พร้อมแสดงความยินดีที่จะสนับสนุนความร่วมมือระหว่างกัน เพื่อให้การขับขี่รถจักรยานยนต์ในประเทศไทยมีความปลอดภัยยิ่งขึ้น และลดอุบัติเหตุทางถนนได้อย่างยั่งยืน
ด้าน นายนิกร จำนง ประธานอนุกรรมการด้านการประสานงานบริหารจัดการรณรงค์และการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการป้องกันและลดอุบัติเหตุ ได้ชี้แจงเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปรับปรุงพระราชบัญญัติจราจรทางบก มาตรา 122 โดยเพิ่มโทษปรับผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ที่ไม่สวมหมวกนิรภัยจากเดิม 500 บาท เป็นปรับไม่เกิน 2,000 บาท ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2568 โดยจะมีการประเมินผลการบังคับใช้กฎหมายในวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2568 ว่ามีผลต่อการเพิ่มสัดส่วนผู้สวมหมวกนิรภัยหรือไม่
สำนักความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สผ.ข้อมูล/ภาพ
