นายแพทย์ทศพร เสรีรักษ์ ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วยแพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมอนามัย ร่วมแถลงข่าวถึงการจัดทำมุ้งสู่ฝุ่น ว่า จากสถานการณ์ PM 2.5 ของประเทศไทยในปี 2568 ยังมีแนวโน้มเกินมาตรฐานและส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีภารกิจที่จะดูแลสุขภาพของประชาชน ตามแผนการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก ปี 2568 ซึ่งในปี 2567 พบผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) กว่า 1,277,386 ราย และเด็ก 0-5 ปี อีกกว่า 309,956 ราย ทั่วประเทศ เจ็บป่วยและมาเข้ารับการรักษาด้วยโรคที่เกี่ยวข้องกับการรับสัมผัสฝุ่น PM2.5 การจัดทํามุ้งสู่ฝุ่น จึงเป็นมาตรการที่จะช่วยลดการสัมผัสและลดผลกระทบต่อสุขภาพจากสถานการณ์ที่มีมลพิษอากาศและความเข้มข้นฝุ่นปริมาณสูง เพื่อให้ประชาชนอยู่ในสภาพอากาศปราศจากฝุ่น
สำหรับมุ้งสู้ฝุ่น เป็นนวัตกรรมที่พัฒนาโดย ผศ.ดร.ภาสกร แช่มประเสริฐ จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อลดปัญหาฝุ่น PM2.5 สำหรับบ้านที่ไม่สามารถปิดช่องหน้าต่างได้สนิท โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง อาทิ ผู้ป่วยติดเตียง โดยใช้หลักการของห้องปลอดฝุ่น ได้แก่ กันฝุ่น กรองฝุ่น และดันฝุ่น เพื่อสร้างพื้นที่อากาศสะอาด โดยใช้มุ้งผ้าฝ้าย สร้างพื้นที่ปิดเพื่อลดการรั่วไหลของอากาศ และใช้เครื่องฟอกอากาศ ผลักอากาศไม่สะอาดออกจากมุ้ง ทั้งนี้ จากการศึกษาประสิทธิภาพของมุ้งสู้ฝุ่นในจังหวัดเชียงใหม่ พบว่า มีประสิทธิภาพการลดฝุ่น PM 2.5 ระหว่าง 36.3% ถึง 75.3% โดยการทดลองในเงื่อนไขพื้นที่ที่แตกต่างกัน มีค่าเฉลี่ยความเข้มข้นของ PM 2.5 ภายในมุ้งผ้าฝ้าย น้อยกว่า 25 μg/m3
อรุณี ตันศักดิ์ดา ข่าว/เรียบเรียง
30 ม.ค.68 - กมธ.การสาธารณสุข สผ.- กรมอนามัย ชู มุ้งสู้ฝุ่น เป็นทางเลือกลดผลกระทบ PM 2.5 ให้กลุ่มเปราะบาง พร้อมเผยผลทดลองใช้มุ้งใน จ.เชียงใหม่ ช่วยลดความเข้มข้น PM 2.5 ภายในมุ้งเหลือน้อยกว่า 25 μg/m3