นายรังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ตั้งกระทู้ถามด้วยวาจาไปยังนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กรณีรายงานของสหประชาชาติ (United Nations : UN) หรือ ยูเอ็น ที่ระบุว่าสถาบันการเงินของประเทศไทยกำลังถูกใช้เป็นทางผ่านเงินของรัฐบาลทหารเมียนมานำไปสนับสนุนการจัดซื้ออาวุธสำหรับปราบปรามประชาชนในประเทศ ว่าเมื่อพิจารณาเนื้อหาของรายงานฉบับดังกล่าวแล้วชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลเมียนมาพยายามหลีกเลี่ยงการตรวจสอบจากสถาบันการเงินจนสามารถซื้ออาวุธผ่านระบบธนาคารของประเทศไทย โดยที่ผ่านมาธนาคารรัฐวิสาหกิจของเมียนมา อาทิ MFTB BANK และ MICB BANK ถูกองค์กรควบคุมทรัพย์สินในต่างประเทศของกระทรวงการคลัง สหรัฐอเมริกา คว่ำบาตรไปตั้งแต่ปี ค.ศ. 2023 ทำให้รัฐบาลเมียนมาไม่สามารถทำธุรกรรมเหล่านี้ได้ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูง ดังนั้นจึงตั้งคำถามถึงการพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริงของลูกค้าอย่างเข้มข้น (Enhanced Due Diligence : EDD) ว่าในการทำธุรกรรมทางการเงินกับสถาบันการเงินของประเทศไทยได้ดำเนินการ EDD หรือไม่ เนื่องจากในที่ประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ที่ตนเองเป็นประธาน ได้รับทราบข้อมูลว่าสถาบันการเงินใดที่ถูกคว่ำบาตร ตลอดจนข้อมูลการคว่ำบาตรจากประเทศต่าง ๆ จะต้องถูกนำข้อมูลเหล่านี้พิจารณาประกอบการทำธุรกรรมด้วย นอกจานี้ยังถามถึงจุดยืนและมาตรการของประเทศไทยต่อกรณีดังกล่าว
ด้านนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (รมว.ต่างประเทศ) ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี ให้เป็นผู้ตอบกระทู้ถาม กล่าวยืนยันว่ารัฐบาลไทยมีนโยบายชัดเจน ที่จะไม่สนับสนุนการละเมิดสิทธิมนุษยชนและการส่งเสริมให้มีการใช้การติดต่อธุรกรรม (Transaction) ของธนาคารที่ขัดต่อกฎบัตรของยูเอ็น ทั้งนี้ที่ผ่านมารัฐบาลไทยได้ร่วมมือกับหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจากกรณีที่เอกสารรายงานของยูเอ็นระบุชัดเจนว่า ไม่พบหลักฐานที่ระบุว่าธนาคารไทยที่ถูกอ้างถึงรับรู้ว่าเป็นการซื้อยุทธภัณฑ์และไม่พบหลักฐานว่ารัฐบาลไทยมีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าว โดยทางการไทยไม่ได้นิ่งเฉย มีการตรวจสอบอย่างจริงจัง และที่ผ่านมาธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) แถลงว่ามีมาตรฐานทางการเงิน และไม่สนับสนุนการจัดซื้ออาวุธให้รัฐบาลทหารเมียนมา อันนำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชน ส่วนอธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกคำชี้แจงต่อกรณีดังกล่าว ย้ำท่าทีตามคำชี้แจงของ ธปท. และ ปปง. รวมทั้งธนาคารพาณิชย์หลายแห่งมีความเข้าใจและรับทราบตรงกัน นอกจากนี้เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทย ณ นครเจนีวา ได้แถลงในการประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชน ครั้งที่ 56 เมื่อวันที่ 5 ก.ค. ที่ผ่านมาโดยย้ำท่าที และยืนยันนโยบายของรัฐบาลไทย ที่ไม่สนับสนุนธุรกรรมทางการเงินที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน อย่างไรก็ตามวันที่ 24 ก.ค. 67 กระทรวงการต่างประเทศจะประชุมเพิ่มเติมกรณีดังกล่าวเพื่อยืนยันจุดยืนให้ชัดเจนมากขึ้น พร้อมกับจะกำชับและตรวจสอบ ตักเตือนให้เกิดความระมัดระวังเรื่องการทำธุรกรรมของสถาบันการเงินต่าง ๆ
นายมาริษ กล่าวด้วยว่าข้อเรียกร้องที่มีนัยมุ่งสู่เป้าหมายที่ให้ยุติการมีธุรกรรมการเงินกับลูกค้า วิสาหกิจ หรือธนาคารที่ประเทศเมียนมาเป็นเจ้าของ เป็นเหมือนข้อเรียกร้องให้ไทยคว่ำบาตรทางการเมียนมา ซึ่งจะไม่เป็นผลดีต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ประเทศไทยไม่ต้องการเห็นความสัมพันธ์ที่ไม่ดีในอนาคต และคำนึงถึงผลกระทบจากการคว่ำบาตร ที่จะกระทบเป็นวงกว้างต่อภาคธุรกิจ โดยเฉพาะการค้าชายแดนไทย และเมียนมา ประเทศไทยจำเป็นต้องรักษาความสัมพันธ์เพื่อประโยชน์ระหว่างสองประเทศ ส่วนข้อเสนอที่ขอให้มีการตรวจสอบ 254 สถาบันการเงินที่มีการกล่าวถึงในรายงานของยูเอ็นฉบับที่ผ่านมา และกรณีการนำผู้รายงานพิเศษของยูเอ็นเข้าให้ข้อมูลเพิ่มเติมต่อกระทรวงการต่างประเทศ ยืนยันว่าจะนำไปพิจารณาต่อไป
ณัฐเดช เอียดปุ่ม /ข่าว/เรียบเรียง