นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง กล่าวถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญนัดฟังคำวินิจฉัยคดียุบพรรคก้าวไกลในวันที่ 7 ส.ค.นี้ว่า ขอให้ความเห็นใน 2 สถานะ สถานะแรก คือ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยส่วนตัวในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติ มองว่าการยุบพรรคการเมืองเป็นการทำลายเจตนารมณ์ของประชาชน และทำให้สถาบันนิติบัญญัติอ่อนแอ โดยเฉพาะประเทศใดก็ตามที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย แต่มีการยุบพรรคฝ่ายค้าน กลไกการตรวจสอบรัฐบาลและการรักษาสิทธิของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งก็จะบกพร่องไปด้วย จึงค่อนข้างกังวลในเรื่องนี้ หากยุบพรรคก้าวไกลแล้วสภาจะหน้าตาเป็นอย่างไร ฝ่ายค้านจะยังเข้มแข็งหรือไม่ จะมีการตรวจสอบถ่วงดุลกับอีก 2 อำนาจ คือ ฝ่ายบริหารและตุลาการได้อย่างไร ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เป็นแค่เรื่องของสภาไทย แต่เป็นเรื่องของสภาระดับนานาชาติด้วย โดยเพื่อน สส. และทูตในหลายประเทศต่างก็มีความกังวลในเรื่องนี้ ซึ่งต้องชี้แจงเรื่องนี้ให้ได้ รวมทั้งไม่ใช่เรื่องของพรรคการเมืองใดพรรคหนึ่ง แต่เป็นเรื่องที่หากฝ่ายนิติบัญญัติถูกฝ่ายอื่นแทรกแซง ห้ามไม่ให้ทำอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทำแล้วมีโทษ จะแสดงให้เห็นชัดเจนว่าประเทศไทยยังไม่ได้เป็นประชาธิปไตย
ต่อข้อถามหากการยุบพรรคส่งผลให้กรรมการบริหารพรรคถูกตัดสิทธิ? มีผลต่อตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎร หรือไม่ นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า แน่นอนว่าตนเป็นอดีตกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล ในช่วงหาเสียงเลือกตั้งปี 2566 และรายชื่อของตนก็ปรากฏชัดเจนอยู่ในคำร้องของ กกต.ดังนั้น ปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ ส่วนเรื่องการวินิจฉัยในวันที่ 7 ส.ค.นี้ เห็นว่าการแถลงของอดีตเพื่อนสมาชิกพรรคก้าวไกลมีน้ำหนักมาก โดยเฉพาะเรื่องคำร้องของ กกต. เป็นที่ประจักษ์ เชื่อว่าวิญญูชน สื่อมวลชน และนักวิชาการ ต่างมีผลวินิจฉัยของตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนตัวจึงไม่ได้มีความกังวลแต่อย่างใด
ส่วนหากผลของคดีเป็นในทางลบ ส่วนตัวเสียดายการทำหน้าที่ในตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎร หรือไม่ นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาตนได้ตั้งใจทำงานตามที่ได้หาเสียงไว้ หากย้อนไปดูตนทำได้เกือบทุกข้อแล้ว เหลือเพียงเรื่องใหญ่ๆ ที่อาจต้องใช้เวลา โดยเฉพาะการปฏิรูปโครงสร้างสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรและสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา โดยปลายนี้จะมีการปรับปรุงโครงสร้างของส่วนราชการสังกัดรัฐสภาใหม่ เพื่อลดความซ้ำซ้อน และเปิดหน่วยงานใหม่ขึ้นมาในอนาคต จึงรู้สึกตื่นเต้นกับโครงสร้างใหม่ที่จะเกิดขึ้น ซึ่งได้มีการรับฟังความเห็นจากรอบด้าน ตลอดจนการผลักดันนโยบาย Digital Parliament ที่รัฐสภากำลังทำบันทึกข้อตกลงร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงเสียดายในเรื่องต่างๆ เหล่านี้ว่าจะเกิดขึ้น หรือไม่ ขึ้นอยู่กับผู้นำรุ่นถัดไป อย่างไรก็ตาม เรื่องที่ตนได้ผลักดันทั้งหมดนี้ได้นำพาสภาไปสู่ Smart Parliament อย่างถูกทางแล้ว ขณะที่กรณีหากหลุดจากตำแหน่งรองประธานสภาฯ อาจส่งผลให้พรรคร่วมฝ่ายค้านเสียเก้าอี้นี้ไป หรือไม่ นั้น ตนเห็นว่า เป็นเรื่องแน่นอน เพราะประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ต้องเป็น สส. หากตนถูกตัดสิทธิ์ก็เท่ากับว่าความเป็น สส. ของตนก็จะหลุด แต่ทั้งหมดเป็นการตัดสินใจของสภา และหลังจากนั้นคิดว่าจะมีการสรรหาตำแหน่งตามกระบวนการของรัฐธรรมนูญ
อรุณี ตันศักดิ์ดา ข่าว/เรียบเรียง
18 ก.ค.67 - รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง มองปมหากมีการยุบพรรคก้าวไกล เป็นการทำลายเจตนารมณ์ประชาชน ส่งผลกลไกการตรวจสอบรัฐบาลบกพร่อง พร้อมย้ำไม่กังวลศาล รธน.นัดชี้ชะตา 7 ส.ค.นี้ มั่นใจคำแถลงก้าวไกลมีน้ำหนัก