28 มิ.ย.68- ประธาน กมธ. การพัฒนาเศรษฐกิจ สผ. ชี้ “เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” ผลตอบแทนเศรษฐกิจยังไม่ชัด สวนทางต้นทุนทางสังคมที่สูง ระบุภาคประชาสังคมห่วงหากต้องพึ่งพารายได้จากาสิโนเป็นหลัก สุดท้ายผู้ประกอบการอาจกดดันให้รัฐผ่อนปรนหลักเกณฑ์ เพื่อให้มีผู้เล่นกาสิโนมากขึ้น อาจนำไปสู่ปัญหาการติดพนันและปัญหาสังคมตามมา

image

        นายสิทธิพล  วิบูลย์ธนากุล ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ในรายการสภาปริทัศน์ ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงรัฐสภา ถึง “นโยบายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ คุ้มค่าเหมาะสมกับเศรษฐกิจไทยหรือไม่?” ว่า แม้ว่าขณะนี้วิปรัฐบาลจะเลื่อนการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือร่างกฎหมายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ออกไปก่อน แต่ประเด็นนี้ยังคงเป็นที่จับตาของสังคมถึงความคุ้มค่าและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ดังนั้น กมธ.การพัฒนาเศรษฐกิจฯ จึงได้เชิญผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจง อาทิ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ผู้แทนจากสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง นางสาวศิริพร ยอดกมลศาสตร์ ผู้จัดการศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน และนายธนากร คมกฤส เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดการพนัน เข้าร่วมหารือ โดยฝั่งรัฐบาลให้เหตุผลว่านโยบายนี้จะช่วยพัฒนาเศรษฐกิจ กระตุ้นการท่องเที่ยว สร้างเม็ดเงินใหม่ ๆ และเพิ่มรายได้จากการจัดเก็บภาษี โดยองค์ประกอบสำคัญของสถานบันเทิงครบวงจร ร้อยละ 90 ไม่ใช่ส่วนของการพนัน ได้แก่ โรงแรม 5 ดาว สวนสนุกและสวนน้ำ พิพิธภัณฑ์, ศูนย์นวัตกรรม, และศูนย์สตาร์ทอัพ คอนเสิร์ตฮอลล์ และอินดอร์สเตเดียมระดับโลก ขณะที่พื้นที่กาสิโน มีเพียงร้อยละ 10 เท่านั้น และหากไม่มีส่วนของกาสิโน นักลงทุนจะไม่สนใจเข้ามา ทั้งนี้ ยังมีมาตรการป้องกันผู้ติดการพนัน (P.E.T.E.R. : Prevention, Education,Treatment, Enforcement, Research) และมาตรการป้องกันการฟอกเงินด้วย

        นายสิทธิพล กล่าวถึงข้อกังวลจากภาคประชาสังคม ว่า มีการตั้งข้อสังเกตถึงการกำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายผู้เล่นกาสิโนจะเป็นชาวต่างชาติหรือคนไทย เพราะเงื่อนไขกำหนดไว้ว่าต้องมีเงินในบัญชีขั้นต่ำ 50 ล้านบาท เพราะหากเป็นชาวต่างชาติ ผลกระทบจากปัญหาการติดพนัน หรือปัญหาอื่น ๆ จะน้อย แต่หากเป็นลูกค้าคนไทย รัฐบาลก็จะต้องให้ความสำคัญและเตรียมมาตรการเยียวยา เพราะจะก่อให้เกิดปัญหาตามมา ประกอบกับหากกลุ่มผู้เล่นกาสิโนเป็นคนไทย มีการประเมินว่าจะมีคนไทยที่เข้าหลักเกณฑ์ดังกล่าวเพียง 10,000 คนเท่านั้น ทำให้เกิดคำถามว่าคนไทยจะได้ประโยชน์จากโครงการนี้อย่างไร หากมีจำนวนน้อยมาก ที่สำคัญแม้ว่ารัฐบาลอ้างว่ารายได้ส่วนใหญ่ของเอนเตอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์จะมาจากพื้นที่ที่ไม่ใช่กาสิโน (non-gaming) แต่รัฐบาลยังไม่สามารถตอบได้ชัดเจนว่า รายได้หลักจะมาจากส่วนใดมากกว่ากัน สิ่งที่น่ากังวล คือ หากรายได้ส่วนใหญ่ต้องพึ่งพากาสิโนเป็นหลัก แต่ไม่สามารถพึ่งพาลูกค้าต่างชาติได้ ผู้ประกอบการอาจกดดันให้รัฐผ่อนปรนหลักเกณฑ์ เพื่อให้มีผู้เล่นกาสิโนมากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่ปัญหาการติดพนันและปัญหาสังคมตามมา นอกจากนี้ ภาคประชาสังคมยังตั้งคำถามถึงความรัดกุมของมาตรการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการป้องกันการฟอกเงินและปัญหาธุรกิจสีเทา ขณะที่ คนไทยมีปัญหาหนี้เยอะอยู่แล้ว และการมีกลไกเสี่ยงโชคอาจทำให้คนหวังใช้วิธีนี้แก้ปัญหาหนี้ ซึ่งจะยิ่งทำให้ปัญหารุนแรงขึ้น กล่าวโดยสรุป คือ ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจเมื่อเทียบกับต้นทุนทางสังคมแล้วนั้น ตัวเลขความคุ้มค่ายังไม่ชัดเจน และยังไม่สามารถเปรียบเทียบได้กับต้นทุนทางสังคมที่รัฐต้องจ่ายได้ ซึ่งต้นทุนทางสังคมมีราคาที่ต้องจ่ายสูง เช่น การแก้ปัญหาการพนัน การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ รวมถึงการตั้งกองทุนเยียวยาผู้ติดการพนัน ซึ่งรัฐบาลจะต้องพิจารณาและชี้แจงให้สังคมเข้าใจ

 

ณัฐพล  สงวนทรัพย์  ข่าว/เรียบเรียง

ประมวลผลภาพ

วิดีโอ