26 มิ.ย.68- กมธ.การพัฒนาเศรษฐกิจ สผ. เชิญ รมช.กระทรวงการคลัง ร่วมหารือผลกระทบและความคุ้มค่านโยบายเอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ด้านตัวแทนภาคประชาสังคมกังวลต้นทุนทางสังคมสูง รัฐอาจทำให้ต้องใช้เงินเยียวยาผู้ติดการพนันเพิ่มขึ้น ขณะที่รายได้จากกาสิโนในกลุ่มชาวต่างชาติอาจไม่เพียงพอจนนำไปสู่การปลดล็อคให้คนไทยเล่นการพนันเพิ่ม

image

        นายสิทธิพล  วิบูลย์ธนากุล ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุม โดยมีวาระพิจารณาศึกษา เรื่อง “ประเมินผลกระทบ และความคุ้มค่าของนโยบายจัดตั้งสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex)” โดยเชิญผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจง อาทิ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ผู้แทนจากสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง นางสาวศิริพร ยอดกมลศาสตร์ ผู้จัดการศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน และนายธนากร คมกฤส เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดการพนัน เป็นต้น

         นายศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงโครงการสถานบันเทิงครบวงจร ที่รัฐบาลพยายามเดินหน้าอยู่ ว่า เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวยกดับประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มรายได้ต่อหัว และดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น เพื่อยกระดับการท่องเที่ยวของประเทศไทย สร้างแบรนด์ สร้างงาน สร้างอาชีพ และสร้างคอนเทนต์ให้ประเทศได้ตลอดทั้งปี ทั้งนี้ องค์ประกอบสำคัญของสถานบันเทิงครบวงจร ร้อยละ 90 ไม่ใช่ส่วนของการพนัน ได้แก่ โรงแรม 5 ดาว สวนสนุกและสวนน้ำ พิพิธภัณฑ์, ศูนย์นวัตกรรม, และศูนย์สตาร์ทอัพ คอนเสิร์ตฮอลล์ และอินดอร์สเตเดียมระดับโลก ขนาด 70,000-80,000 ที่นั่ง ซึ่งจะช่วยให้เอกชนสามารถจัดกิจกรรมได้ตลอดปี ลดช่องว่างช่วงโลว์ซีซัน ศูนย์ประชุมนานาชาติ (MICE) เพื่อรองรับงานนิทรรศการขนาดใหญ่ระดับโลก พร้อมทั้งมีพื้นที่ส่งเสริมวัฒนธรรมและ OTOP และ Gaming Area สำหรับโมเดลที่ไทยเลือกใช้ คล้ายกับของสิงคโปร์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE), และเกาหลีใต้ โดยจะจำกัดจำนวนใบอนุญาตให้น้อย แต่เน้นการลงทุนขนาดใหญ่ระดับ Megasize หรือ XXL ที่มีมูลค่ามากกว่า 100,000 ล้านบาทขึ้นไป โดยเหตุผลสนับสนุนโครงการและความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ เพื่อเป็นการยกระดับการท่องเที่ยว เป็นจุดเปลี่ยนทางเศรษฐกิจที่สำคัญในการขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวที่พึ่งพาธรรมชาติมานาน และจำเป็นต้องสร้างแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น (Man-made destination) พร้อมทั้งดึงดูดการลงทุนขนาดใหญ่ ทั้งรัฐบาลเลือกจะดึงดูดบริษัทที่มีประวัติการดำเนินงานชัดเจนและมีความน่าเชื่อถือ และการลงทุนนี้ ไม่ต้องใช้เงินภาษี ซึ่งโครงการนี้ ได้วางแนวทางลดปัญหาสังคมได้ด้วย อาทิ ลดการพนันผิดกฎหมาย โดยรายได้จากค่าธรรมเนียมใบอนุญาตจะถูกนำไปใช้เป็นรางวัลนำจับการพนันผิดกฎหมาย และสร้างระบบบำบัดผู้ติดการพนันที่ยั่งยืน การนำธุรกิจขึ้นสู่ระบบจะทำให้รัฐมองเห็นและสามารถช่วยเหลือผู้มีปัญหาได้ แต่ย้ำว่าสถานบันเทิงครบวงจร ไม่ใช่การพนันเสรี เนื่องจากมีมาตรการเข้มงวดชัดเจนในกฎหมาย โดยเฉพาะห้ามการพนันออนไลน์ มีการควบคุมผู้เล่น ไม่มีการโฆษณาเชิญชวน พนักงานได้รับการอบรมให้ตรวจจับปัญหาการพนัน และสามารถหยุดการเล่นได้ทันทีเมื่อมีพฤติกรรมเกินตัว รวมทั้งมีมาตรการป้องกันผู้ติดการพนัน (P.E.T.E.R. : Prevention, Education,Treatment, Enforcement, และ Research) มาตรการป้องกันการฟอกเงิน และมาตรการควบคุมผู้เล่นกาสิโนทั้งผู้ที่เคยมีประวัติอาชญากรรมหรือล้มละลายโดยทุจริต สำหรับรายได้จากสถานบันเทิงครบวงจรนั้นจะมาจากการท่องเที่ยว 100,000 – 240,000 ล้านบาทต่อปี เกิดการจ้างงาน 9,000 – 10,000 ตำแหน่ง เกิดรายได้เข้ารัฐ 12,000 – 39,000 ล้านบาทต่อปี นอกจากจะถูกนำไปพัฒนาประเทศ ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน และโครงการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง และการศึกษาด้วย

        นายธนากร  คมกฤส เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดการพนัน กล่าวว่า รัฐบาลต้องประเมินต้นทุนทางสังคมอย่างละเอียดว่าคุ้มค่าหรือไม่ โดยเฉพาะหากคนไทยเป็นผู้เล่นหลัก จะทำให้มีปัญหาผู้ติดการพนันเพิ่มขึ้น ซึ่งรักษาได้ยากและมีต้นทุนสูง ขณะที่การกำหนดลูกค้าเป้าหมายจำเป็นต้องระบุให้ชัดเจนว่ากลุ่มลูกค้าหลักคือใคร เพราะมีผลต่อมาตรการป้องกันผลกระทบ เช่นเดียวกับสัดส่วนรายได้จาก Gaming vs. Non-Gaming นั้น ยังไม่สอดคล้องกัน โดยรัฐบาลให้ข้อมูลว่ารายได้จากกาสิโนเป็นส่วนน้อย แต่ผู้เชี่ยวชาญและรายงานบางฉบับระบุว่ารายได้จากกาสิโนจะเป็นส่วนใหญ่ ราว 70-80% เช่นเดียวกับสิงคโปร์หรือมาเก๊า และหากรายได้ส่วนใหญ่ที่มาจาก Gaming Area และนักท่องเที่ยวไม่เพียงพอ ผู้ประกอบการอาจกดดันให้รัฐบาลผ่อนปรนเงื่อนไขให้คนไทยเข้าเล่นมากขึ้น ทั้งนี้ การทำ Non-Gaming ให้มีรายได้มากกว่า Gaming เป็นเรื่องที่ท้าทายมาก และอาจทำได้แค่ลาสเวกัสที่เดียว

        นายสิทธิพล ประธาน กมธ. การพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า รัฐบาลต้องพิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบด้าน เนื่องจากเป็นการรวมนโยบายการส่งเสริมเศรษฐกิจกับการปราบปรามการพนันผิดกฎหมายที่ไม่เคยเกิดขึ้นพร้อมกันมาก่อนในประเทศไทย ดังนั้น รัฐบาลต้องสื่อสารที่ตรงไปตรงมา และการพิจารณาบนฐานข้อมูลเดียวกัน เพื่อสร้างความเข้าใจและความเชื่อมั่นจากประชาชน

 

ณัฐพล สงวนทรัพย์ ข่าว/เรียบเรียง

ประมวลผลภาพ

วิดีโอ