นายภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จังหวัดเชียงใหม่ พรรคประชาชน (ปชน.) เปิดเผยถึงกรณีปัญหาสารพิษในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวก ว่ารัฐบาลไทยต้องเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนและตรงจุด เพราะผลกระทบตกอยู่กับประชาชนไทยโดยตรง ไม่สามารถรอให้หน่วยงานราชการตั้งคณะกรรมการแล้วปล่อยให้ปัญหาคลุมเครือได้อีกต่อไป ขณะนี้ประชาชนในพื้นที่ประสบปัญหาน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค การเกษตร และการประมง แม้จะมีการพูดถึงปัญหานี้มาหลายเดือน แต่รัฐบาลกลับยังไม่มีท่าทีที่เป็นรูปธรรม ดังนั้นการเจรจาระหว่างประเทศต้องชัดเจน ไม่ใช่เพียงร้องขอแบบลอย ๆ แล้วบอกว่า หารือกับทางการจีนแล้วแต่ไม่ได้ผล
นายภัทรพงษ์ ระบุว่าไทยควรใช้เวทีความร่วมมือลุ่มน้ำล้านช้าง-แม่โขง (LMC) และศูนย์ความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม Lancang-Mekong Environmental Cooperation Center (LMEC) เป็นช่องทางหลักในการเจรจากับจีนและเมียนมา โดยเฉพาะในกรณีเหมืองต้นน้ำที่อยู่ในเขตว้า ซึ่งเกินอำนาจรัฐของเมียนมา ไทยจึงต้องใช้ความสัมพันธ์กับจีนในการแก้ปัญหาที่ปลายทางของห่วงโซ่อุปทานอย่างมีเป้าหมาย ประกอบกับการที่จีนประกาศจะเป็นประเทศที่มี Green Supply Chain ไทยจึงต้องใช้แนวทางดังกล่าวในการต่อรอง โดยอาศัยกฎหมายจีนที่เกี่ยวกับการจัดการแร่หายาก (Rare Earth Management Regulations) และกฎหมายควบคุมการนำเข้าแร่ทองคำ เพื่อให้จีนตรวจสอบและจัดการกับบริษัทที่รับซื้อแร่จากเหมืองที่ปล่อยสารพิษลงน้ำไทย ทั้งนี้ข้อเสนอเบื้องต้น นายภัทรพงษ์ เสนอให้ไทยดำเนินการเจรจากับจีนในระดับรัฐมนตรี โดยมีข้อเรียกร้องที่ชัดเจน เช่น การเปิดเผยข้อมูลที่มาของแร่ การดำเนินคดีกับบริษัทที่ฝ่าฝืนกฎหมาย และการตรวจสอบย้อนหลังผ่านระบบฐานข้อมูลการตรวจสอบแร่ ซึ่งจีนมีอยู่แล้ว นอกจากนี้ ยังชี้ว่ารัฐบาลต้องจัดงบประมาณฉุกเฉินเพื่อบรรเทาปัญหาเฉพาะหน้า ไม่ว่าจะเป็นการบำบัดน้ำเสีย การตรวจสอบคุณภาพน้ำเพื่อการเกษตร และการตรวจวิเคราะห์ปลาอย่างรอบด้าน ไม่ใช่เพียงวัดโลหะหนัก แต่ต้องค้นหาสารพิษหรือเชื้อโรคที่ปนมากับน้ำโดยตรงด้วย
นายภัทรพงษ์ กล่าวย้ำว่าประชาชนไม่ได้เลือกนักการเมืองเพื่อมาเล่นการเมืองหรือจัดสรรผลประโยชน์ แต่เลือกมาเพื่อแก้ปัญหาให้กับตนเอง ดังนั้นการนิ่งเฉยเท่ากับรัฐบาลกำลังบอกกับประชาชนว่าไม่เห็นคุณค่าชีวิตของประชาชนเลย จึงขอให้รัฐบาลพิจารณาประเด็นดังกล่าวด้วย
ณัฐเดช เอียดปุ่ม /ข่าว /เรียบเรียง (แฟ้มภาพ)