นายปรีติ เจริญศิลป์ รองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) โคนมและผลิตภัณฑ์นม พ.ศ. .... ให้สัมภาษณ์ในรายการสภาปริทัศน์ ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงรัฐสภา ถึงปัญหานมโรงเรียน นมล้นระบบ และความคืบหน้าการพิจารณาร่างกฎหมายโคนมฯ ว่า ในภาพรวมการพิจารณาเรียงตามลำดับมาตราเป็นไปในทิศทางเดียวกัน คาดว่าจะสามารถนำร่างกฎหมายฉบับนี้เสนอเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวาระ 2 และ 3 ได้ในการประชุมสมัยหน้า สำหรับประเด็นสำคัญในการแก้ไขกฎหมายโคนมฯ นั้นมีจุดมุ่งหมายเพื่อวางโครงสร้างใหม่และแก้ไขปัญหาระบบโคนมโดยรวม ทั้งการเพิ่มอำนาจของคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม (Milk board) จากเดิมที่สามารถกำหนดได้เพียง ราคาน้ำนมดิบ และราคาขายส่งให้ศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบหรือโรงงานอุตสาหกรรม แต่ในอนาคตจะสามารถกำหนดได้ไปถึง ราคาขายปลีก ซึ่งจะช่วยให้การควบคุมราคาอยู่ภายใต้หน่วยงานเดียว นอกจากนี้ ยังเพิ่มองค์ประกอบของมิลค์บอร์ด โดยจะมีการเพิ่ม ตัวแทนเกษตรกรโคนม เข้าไปด้วย เพื่อให้ได้รับฟังความเห็นและปัญหาของเกษตรกรโดยตรง รวมทั้งเพิ่มตัวแทนสถาบันการศึกษา เข้าไปเป็นมิลค์บอร์ดด้วย เนื่องจากมีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการจัดสรรนมโรงเรียนที่สถาบันการศึกษาบางแห่งไม่ได้รับโควตาในปีนี้
นายปรีติ กล่าวถึงปัญหาของโครงการนมโรงเรียนว่า ถือเป็นปัญหาเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อเด็กนักเรียนและผู้ประกอบการ โดยเฉพาะความล่าช้าในการประกาศจัดสรรนม เนื่องจากการออกประกาศของประธานคณะกรรมการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชน ที่มีปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธาน มีความล่าช้าอย่างมาก ซึ่งในปี 69 โรงเรียนเปิดเทอมวันที่ 16 พ.ค. แต่กลับออกประกาศรับสมัครผู้ประกอบการ วันที่ 11 พ.ค. และประกาศเพิ่มเติมออกในวันที่ 15 พ.ค. ซึ่งทำให้ไม่สามารถส่งนมให้เด็กทันวันเปิดเทอมได้ ส่งผลให้ เด็กได้รับนมโรงเรียนล่าช้า บางพื้นที่ยังไม่ได้รับแม้หลังวันที่ 27 พ.ค.67 เช่น จังหวัดฉะเชิงเทราและปราจีนบุรีได้รับนมช้ากว่าที่อื่น ที่สำคัญสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) รายงานว่าโรงเรียนได้รับนมครบแล้ว แต่จากการสำรวจพบว่าบางแห่งยังไม่ได้รับ หรือได้รับเพียงช่วงแรกแล้วหยุดไป
นายปรีติ กล่าวย้ำว่า วัตถุประสงค์ของโครงการนมโรงเรียนเป็นการให้เด็กดื่มนมพาสเจอร์ไรส์ หรือนมถุง แต่ปัจจุบันกลายเป็น นมกล่อง ซึ่งเป็นวิธีการระบายสต็อกนมโรงเรียน ที่ผลิตไว้ก่อนได้รับโควตา นมเหล่านี้ไม่หมดอายุ แต่เป็นการบริหารจัดการที่ไม่สอดคล้องกัน จนกลายเป็นปัญหา “นมล้นระบบ” เป็นปัญหาที่เกิดจากการบริหารจัดการที่ไม่สอดคล้องกันระหว่าง 2 บอร์ด ซึ่งมีปลัดกระทรวงเกษตรฯ เป็นประธานทั้งคู่ สาเหตุหลัก คือ มิลค์บอร์ด กำหนดให้ การเซ็นสัญญาซื้อนมจากเกษตรกรต้องทำในเดือนตุลาคม ของทุกปี โดยผู้ประกอบการต้องซื้อนมในปริมาณที่กำหนดตลอดทั้งปี แต่โควตานมโรงเรียนจะเปิดรับในเดือน พ.ค. ซึ่งหมายความว่าผู้ประกอบการต้องซื้อนมล่วงหน้าโดยไม่รู้ว่าจะได้รับโควตาหรือไม่ ปริมาณนมที่เซ็นสัญญาซื้อมีมากถึง 1,800 ตัน เพื่อนำมาเข้าโควตานมโรงเรียน แต่ โควตานมโรงเรียนมีเพียง 900 ตัน ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ ทราบเรื่องนี้ดีตั้งแต่ต้นว่านมจะล้นแน่นอน แต่ทั้งสองบอร์ดกลับไม่ได้หารือกันเพื่อแก้ไขปัญหานี้ทำให้ผู้ประกอบการที่ซื้อนมมาแต่ไม่ได้โควตา อาจต้อง ปิดบริษัท หรือบางรายอาจ ขายน้ำนมดิบในราคาถูก หรือ นำไปแปรรูปเป็นนมกล่องเพื่อเก็บสต็อกไว้ขายให้ผู้ที่ได้โควตาในปีถัดไปกลายเป็นปัญหาเรื้อรัง ปัจจุบันมี นมกล่องในสต็อกหลายร้อยล้านกล่อง ที่ยังประเมินปริมาณที่ชัดเจนไม่ได้ นมเหล่านี้ไม่ได้บูดแต่ก็มีปัญหาในการระบายออก และมีการขายผ่านอินเทอร์เน็ตจำนวนมาก การห้ามนำเข้าไม่ใช่วิธีแก้ปัญหานมล้นที่ถูกต้อง เพราะนมในประเทศก็ยังล้นอยู่ดี
นายปรีติ กล่าวถึงข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหานมทั้งระบบ ว่า รัฐบาลต้องมีความชัดเจนในการเซ็น MOU กับผู้ประกอบการตั้งแต่เดือนตุลาคม เพื่อให้ทราบว่าผู้ประกอบการรายใดได้โควตานมโรงเรียนเท่าไร และนมพาณิชย์เท่าไร ซึ่งจะช่วยป้องกันปัญหานมล้นและลดการ "วิ่งเต้น" เพื่อให้ได้โควตา รวมทั้งขยายระยะเวลานมโรงเรียน จากปัจจุบันนมโรงเรียนจัดสรรเพียง 260 วัน ก็ควรขยายเป็น 360 วัน เพื่อให้สอดคล้องกับการผลิตน้ำนมของโคนมที่ออกทุกวัน และช่วยระบายสต็อกนม อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากฎหมายโคนมฯ จะช่วยวางโครงสร้าง แต่รายละเอียดปลีกย่อยจะต้องเป็นอำนาจของฝ่ายบริหาร คือ กระทรวงเกษตรฯ ที่จะต้องออกประกาศและระเบียบย่อยอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น การแก้ปัญหาต้องอาศัยทั้งกฎหมายที่ดีและผู้บริหารราชการที่ดีควบคู่กันไป
ณัฐพล สงวนทรัพย์ ข่าว/เรียบเรียง