12 มิ.ย. 68 - กมธ.ความมั่นคงฯ สภาผู้แทนราษฎร ประชุมลับฝ่ายความมั่นคง ถกสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ย้ำไทยต้องไม่ตกหลุมพรางทางยุทธศาสตร์ เสนอใช้กลไกเศรษฐกิจและความมั่นคงเป็นแต้มต่อเจรจา เรียกร้องนายกฯแสดงจุดยืนยึดผลประโยชน์ชาติเป็นหลัก

            นายรังสิมันต์ โรม ประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุมลับเพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยมี พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และผู้เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม
            นายรังสิมันต์ ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุม ว่าการประชุมในครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างตรงไปตรงมา โดยเชิญผู้แทนฝ่ายความมั่นคง อาทิ ผู้บัญชาการเหล่าทัพ และผู้แทนกระทรวงต่างประเทศ รวมถึงนักวิชาการ ร่วมให้ความเห็นต่อแนวทางการแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งตนมองว่า ปัญหาดังกล่าวไม่ใช่เพียงข้อพิพาทชายแดน แต่เป็นกลยุทธ์ระดับรัฐ ที่กัมพูชาดำเนินการมาเป็นลำดับขั้น โดยอาจมุ่งหวังนำเรื่องเข้าสู่ศาลโลก และตั้งข้อสังเกตว่ายังไม่มีคำตอบชัดเจนว่ากัมพูชามีเป้าหมายใดจากความขัดแย้งครั้งนี้ พร้อมตั้งคำถามว่ากัมพูชาต้องการยกระดับปัญหาไปยังศาลโลกจริงหรือไม่ รวมถึงประเด็นการพิพาทในพื้นที่ต่างๆ ทั้งบริเวณเขาพระวิหาร และช่องบกต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ  จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ฝ่ายไทยต้องดำเนินการอย่างสุขุม และไม่ตกหลุมพรางทางยุทธศาสตร์
            นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า ไทยต้องมีแต้มต่อในการเจรจา และแต้มต่อของไทยคือไฟฟ้า  เศรษฐกิจชายแดน แรงงานข้ามชาติ และธุรกิจสีเทา เช่น แก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่อยู่ในกัมพูชา หากสามารถใช้เครื่องมือเหล่านี้อย่างมียุทธศาสตร์ จะสามารถกดดันให้การเจรจาเกิดผลและรักษาผลประโยชน์ของชาติได้  พร้อมเสนอให้ใช้กลไกของสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) อย่างเต็มที่ และเสนอให้ฝ่ายบริหารดำเนินการบูรณาการร่วมกันระหว่างกระทรวงมหาดไทย กลาโหม และต่างประเทศ โดยเฉพาะก่อนการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา(JBC) ในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ และมองว่าทางออกในเรื่องนี้คือผ่านการเจรจาทวิภาคี นอกจากนี้รัฐบาลควรวางแผนใช้โอกาสนี้ขยายความร่วมมือทางการทูตกับหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส เวียดนาม รวมถึงการหารือกับจีนในฐานะประเทศที่จัดหาอาวุธให้กัมพูชา เพื่อประเมินเจตนารมณ์และลดความหวาดระแวงทางทหาร และนายกรัฐมนตรีต้องแสดงบทบาทนำในการประกาศจุดยืนชัดเจน ว่าความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างผู้นำรัฐบาลของสองประเทศจะต้องไม่อยู่เหนือผลประโยชน์ของชาติ การจัดลำดับความสำคัญในการหารือจะต้องเน้นเรื่องยุทธศาสตร์และความมั่นคงของประเทศ มากกว่าประเด็นเล็กน้อย เช่น การเปิด-ปิดด่าน
            สำหรับภาพรวมสถานการณ์ชายแดน นายรังสิมันต์ย้ำว่า ประชาชนตามแนวชายแดนจะได้รับผลกระทบก่อนเป็นลำดับแรก หากความขัดแยงบานปลาย พร้อมเสนอให้รัฐบาลใช้ทุกกลไกเพื่อแสดงความจริงใจในเวทีนานาชาติ ป้องกันไม่ให้ภาพลักษณ์ของไทยเสียหายจากการกล่าวหาว่าเป็นฝ่ายรุกราน ขณะเดียวกันปัญหาการเมืองภายในยังเป็นโจทย์สำคัญของรัฐบาล โดยเฉพาะกรณีของนายทักษิณ ชินวัตร ที่อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชนต่อรัฐบาลและกระบวนการยุติธรรม ซึ่งรัฐบาลจำเป็นต้องแสดงความโปร่งใสและดำเนินการทุกอย่างให้เป็นไปตามหลักกฎหมายและวิทยาศาสตร์ เพื่อรักษาความเชื่อมั่นของประชาชน

อรพรรณ ขันทองคำ ข่าว/เรียบเรียง

ประมวลผลภาพ

วิดีโอ