นายปรีติ เจริญศิลป์ รองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติโคนมและผลิตภัณฑ์นม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... สภาผู้แทนราษฎร พร้อมคณะ ร่วมแถลงข่าวถึงความคืบหน้าการพิจารณาร่างกฎหมาย ว่า ที่ประชุม กมธ.ได้มีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายโคนมและผลิตภัณฑ์นม โดยมีการปรับเพิ่มอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม (มิลค์บอร์ด) /การกำหนดให้มิลค์บอร์ดมีองค์ประกอบจากหลายภาคส่วนมากขึ้น/ การเพิ่มความโปร่งใสด้วยการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ และเพิ่มการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน อย่างไรก็ตาม ยังพบข้อมูลปัญหาหลายประการที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติมก่อนการแก้ไขกฎหมายจะแล้วเสร็จ โดยจากการลงพื้นที่ของ กมธ.เพื่อรับทราบข้อมูลและปัญหาต่างๆ จากผู้ประกอบการ พบว่า ปัญหาหลักของระบบนมโรงเรียนมีอยู่ 4 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ ประเด็นแรก คือ ความล่าช้าในการแจกจ่ายนมโรงเรียนในช่วงเปิดภาคเรียน โดยข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ระบุว่า ในวันเปิดเทอมวันแรกมีเพียง 5,200 โรงเรียน หรือเพียง 19.55% จากโรงเรียนทั้งหมด 26,600 แห่ง ที่นักเรียนได้รับนมโรงเรียนทันเวลา โดยความล่าช้านี้เกิดจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ออกประกาศหลักเกณฑ์การจัดสรรโควตานมโรงเรียนล่าช้า ประเด็นที่สอง คือ ปัญหานมล้นระบบอันเนื่องมาจากความไม่สอดคล้องในการบริหารจัดการ โดยมิลค์บอร์ดและบอร์ดนมโรงเรียน ซึ่งมีปลัดกระทรวงเกษตรฯ เป็นประธานทั้งสองคณะ มีการลงนามในสัญญาซื้อนมดิบตั้งแต่เดือนตุลาคม แต่การจัดสรรโควตานมโรงเรียนเกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคมของปีถัดไป ทำให้มีน้ำนมดิบส่วนเกินในระบบกว่า 943 ตันต่อวัน กลายเป็นนมกล่อง UHT ค้างสต๊อกสะสมทั่วประเทศเกือบพันล้านกล่อง ขณะที่นักเรียนกลับไม่ได้รับนมพาสเจอร์ไรส์ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่า ประเด็นที่สาม คือ ความไม่โปร่งใสในการจัดสรรโควตานมโรงเรียน โดยมีข้อร้องเรียนจากผู้ประกอบการหลายรายว่ามีการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์และพื้นที่การจัดสรรโควตาในช่วงวันสุดท้ายของการสมัคร ซึ่งสร้างความได้เปรียบให้กับผู้ประกอบการบางราย ขณะเดียวกัน สถาบันการศึกษาบางแห่งไม่ได้รับโควตานมโรงเรียนเลยในปีนี้ และประเด็นสุดท้าย คือ ผลกระทบต่อข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) จากการที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์อ้างภาวะนมล้นในระบบ เพื่อลดการนำเข้านมผงจากต่างประเทศเหลือเพียง 35% ของที่ภาคเอกชนยื่นขอ ทั้งที่ประเทศไทยได้ลงนามข้อตกลงการค้าเสรีกับออสเตรเลียและนิวซีแลนด์แล้ว การดำเนินการเช่นนี้สุ่มเสี่ยงต่อการผิดข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศ และอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก โดยเฉพาะในช่วงที่กำลังเจรจาข้อตกลง FTA ฉบับใหม่กับสหภาพยุโรป
ทั้งนี้ กมธ.ได้เชิญปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานมิลค์บอร์ดและบอร์ดนมโรงเรียน มาชี้แจงข้อเท็จจริง แต่ปลัดกระทรวงฯ ไม่ได้เข้าร่วมประชุม โดยมอบหมายให้องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) มาชี้แจงแทน ซึ่งไม่สามารถตอบข้อซักถามได้ครบถ้วน อีกทั้งเอกสารสำคัญที่ กมธ.ขอไว้ล่วงหน้าก็ไม่ได้ถูกส่งมาแต่อย่างใด ดังนั้น ตนจึงขอเรียกร้องให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เร่งดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงการปฏิบัติหน้าที่ของปลัดกระทรวงฯ พร้อมทั้งเสนอให้ปรับปรุงวิธีการบริหารระบบนมโรงเรียนใหม่ เพื่อป้องกันปัญหานมล้นระบบ และผลักดันให้เด็กนักเรียนได้รับนมครบ 365 วันต่อปี เพื่อเป็นการช่วยระบายสต็อกนมโรงเรียนและช่วยเหลือเกษตรกรโคนม รวมถึงขอให้หยุดการดำเนินนโยบายที่สุ่มเสี่ยงต่อการละเมิดข้อตกลงทางการค้าเสรีทันที เพื่อป้องกันปัญหาอื่นที่อาจตามมากับประเทศไทยในอนาคต ทั้งนี้ กมธ.จะเดินหน้าหาข้อเท็จจริงอย่างรอบด้านต่อไป เพื่อให้การแก้ไขพระราชบัญญัติโคนมและผลิตภัณฑ์นมครั้งนี้ สามารถแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างได้อย่างยั่งยืน
อรุณี ตันศักดิ์ดา ข่าว/เรียบเรียง
