นายวิทยา แก้วภราดัย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(สส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวถึงปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชนั้น น้ำปริมาณมากไหลหลากจากเทือกเขาหลวงเพื่อจะลงสู่ทะเล ซึ่งใช้ระยะทางเฉลี่ย 50 กิโลเมตร โดยจะผ่านอำเภอสิชล อำเภอท่าศาลา ซึ่งรับน้ำโดยตรงจากเทือกเขาหลวง ก่อนจะไหลเข้าสู่พื้นที่อำเภอพระพรหม และอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการดำเนินการเพื่อแก้ไขผ่านโครงการตามแนวพระราชดำริในรัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 10 ได้ดำเนินการสานต่อ คือโครงการคลองเลี่ยงเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งมีกรมชลประทานเป็นผู้ดำเนินการ เมื่อโครงการแล้วเสร็จจะลดปริมาณน้ำที่เข้าสู่พื้นที่ตัวเมืองนครศรีธรรมราชไปได้มากกว่าร้อยละ 90 เป็นการลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับประชาชน แต่ปัจจุบันได้มีการทำสัญญามาเกือบจะ 10 ปี แล้วแต่โครงการดังกล่าวยังมีความคืบหน้าน้อยกว่าความคาดหวัง จึงขอให้มีการเร่งรัดการดำเนินการ นอกจากนี้ยังกล่าวถึง การดำเนินการเยียวยาประชาชนผู้ได้รับผลกระทบการเหตุการณ์น้ำท่วมโดยขอประสานไปยังรัฐบาลให้เร่งดำเนินการเยียวยาผู้ประสบภัยโดยด่วนด้วย
นายวิทยา กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันจากโครงการในพระราชดำริพัฒนาลุ่มน้ำปากพนัง โดยมีพระราชดำริสร้างประตูอุทกวิภาคประสิทธิ์เพื่อแบ่งน้ำจืดและน้ำเค็ม ดังนั้นแม่น้ำปากพนังทั้งสายระยะทาง 60 กิโลเมตร จึงเป็นพื้นที่เก็บกักน้ำจืดในช่วงฤดูแล้ง และเมื่อถึงฤดูน้ำหลากประตูระบายน้ำจะเปิดออกเพื่อเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่ แต่อย่างไรก็ดีในลำรางสาธารณะมากกว่า 100 สาย ซึ่งจะไหลลงสู่แม่น้ำปากพนัง จากในอดีตที่ได้มีการปิดประตูระบายน้ำทั้งหมดตลอดทั้งปีเพื่อกักเก็บน้ำในฤดูแล้ง ทำให้ปัจจุบันในลำรางสาธารณะจึงเต็มไปด้วยวัชพืชทางน้ำโดยเฉพาะผักตบชวา ที่รากยาวถึงดิน จึงประสานไปยังกรมชลประทานให้เร่งดำเนินการขุดลอกคูคลองทั้งหมดในพื้นที่ อีกทั้งปัญหาเครื่องสูบน้ำของกรมชลประทานที่ใช้ในพื้นที่ พบว่าประสบปัญหาการดำเนินการจากเชื้อเพลิงที่ปัจจุบันระบบใช้น้ำมันเป็นหลักทำให้การดำเนินการเร่งระบายน้ำเป็นไปอย่างไม่ต่อเนื่อง จึงขอเสนอให้เปลี่ยนเชื้อเพลิงจากระบบน้ำมันเป็นระบบไฟฟ้า
ณรารัฎฐ์ โพธินาม / ข่าว เรียบเรียง
แฟ้มภาพ