นายชิบ จิตนิยม สมาชิกวุฒิสภา ในฐานะรองประธานกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา กล่าวถึง ท่าทีของรัฐบาลไทยภายหลังที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ว่า รัฐบาลไทยรวมถึงทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรเตรียมรับมือกับนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่เตรียมออกมาตรการกีดกันทางภาษีประเทศที่นำเข้าสินค้าไปยังสหรัฐฯ ซึ่งต้องยอมรับว่าประเทศไทยกับสหรัฐฯ มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเสมอมากว่า 100 ปี ที่ผ่านมาสหรัฐฯ ต้องพึ่งพาสินค้านำเข้าจากประเทศไทยเป็นอันดับ 3 ของโลก สำหรับประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนหากนโยบายนี้ออกมาอย่างชัดเจนจะได้รับผลกระทบด้านภาษี 10-20% รวมถึงประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกที่เป็นคู่ค้ากับสหรัฐฯ นอกจากนี้ ยังน่าจับตาที่นโยบายของสหรัฐฯ อาจมีมาตรการกีดกันภาษีจีนถึง 60% เพราะฉะนั้นหากสหรัฐฯ ดำเนินการจริงตามที่ประกาศไว้ ผลกระทบก็จะเกิดกับจีนมากที่สุด ในขณะเดียวกันก็จะเป็นโอกาสของประเทศไทยและประเทศในอาเซียนที่จะสามารถส่งออกสินค้าไปสู่สหรัฐฯ ได้มากขึ้น เช่น สินค้าเกษตร ที่สหรัฐฯ ขาดแคลน ซึ่งประเทศในภูมิภาคอาเซียนต้องหามาตรการที่จะชดเชยผลเสียจากผลกระทบของการถูกกีดกันภาษีนี้ เช่น การเพิ่มมูลค่าของสินค้า เพื่อให้ประเทศสามารถชะลอผลกระทบจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ
นายชิบ กล่าวอีกว่า กรณีที่จีนถูกกีดกันทางการค้าจากสหรัฐฯ ประเทศไทยต้องระวังว่าสินค้าจากจีนจะทะลักเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้นหรือไม่ ซึ่งต้องยอมรับว่าขณะนี้ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากสินค้าจีนอยู่แล้ว และพบว่าบริษัทต่าง ๆ ย้ายฐานการผลิตจากต่างชาติที่ลงทุนในจีน หรือบริษัทในจีนเองย้ายฐานการผลิตมาที่ประเทศไทยเป็นจำนวนมาก โดยข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (Board of Investment: BOI) พบว่ามีมากกว่า 2,000 โครงการ เพราะฉะนั้นจะกระทบกับผู้ประกอบการ SMEs ของประเทศไทยอย่างแน่นอน ดังนั้น จะต้องคิดว่าควรทำอย่างไรประเทศไทยจะไม่เสียประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตเพื่อหวังประโยชน์จากการไม่เสียภาษีในประเทศไทย รัฐบาลควรจะปรับโครงสร้างหรือมีข้อตกลง เช่น สัดส่วนการถือหุ้นในประเทศไทย ตลอดจนบริษัทที่เข้ามาตั้งฐานการผลิตควรจะต้องมีการออกกฎให้ใช้วัตถุดิบภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม มองว่านโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ได้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อประเทศไทย แต่จะต้องเตรียมการรับมือในเรื่องของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ
ทัดดาว ทองอิ่ม ข่าว / เรียบเรียง
แฟ้มภาพ