10 ก.ย. 67 - สส.พรรคประชาชน เรียกร้อง พลเอกพิศาล วัฒนวงษ์คีรี อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 เข้าแสดงตัวต่อศาลจังหวัดนราธิวาส วันที่ 12 กันยายน นี้ ก่อนคดีสลายการชุมนุมตากใบ ครบอายุความ 20 ปี 

image

           นายรอมฎอน ปันจอร์ พร้อมด้วยนายจุลพงษ์ อยู่เกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) แถลงข่าวความคืบหน้าคดีสลายการชุมนุมตากใบเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2547 ว่าคดีดังกล่าวจะสิ้นอายุความวันที่ 25 ตุลาคม นี้ ขณะนี้เหลืออีกเพียง 45 วัน ซึ่งขณะนี้ทราบว่าศาลจังหวัดนราธิวาส ได้รับฟ้องคดีที่ทางผู้เสียหายจำนวน 48 คน ยื่นฟ้องไปเมื่อวันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2567 ซึ่งศาลรับฟ้องเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม ที่ผ่านมา โดยโจทย์ยื่นฟ้องจำเลยจำนวน 9 คน แต่ศาลรับฟ้องเพียง 7 คนด้วยข้อหาร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น และกักขังหน่วงเหนี่ยวเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย เป็นข้อหาที่ค่อนข้างหนัก ทั้งนี้ตามที่เป็นข่าวไปบ้างแล้วจำเลยทั้ง 7 คนเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในช่วงเวลาการสลายการชุมนุมขณะนั้นและหนึ่งในนั้นปัจจุบันคือ พลเอก พิศาล วัฒนวงษ์คีรี สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) เป็นจำเลยที่ 1 โดยขณะนั้นดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 4 ประเด็นต่อมาคือวันที่ 12 กันยายน นี้ ศาลจังหวัดนราธิวาส นัดเบิกความคำให้การจำเลยเป็นครั้งแรก และนัดตรวจพยานและไต่สวนพยาน ถือว่าเป็นนัดสำคัญ จำเป็นต้องติดตามว่าจำเลยทั้ง 7 คนจะเดินทางไปที่ศาลหรือไม่ ซึ่งตามหลักของการพิจารณาคดีอาญาทั่วไปนั้น ต้องพิจารณาคดีต่อหน้าจำเลยเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจำเลยจะแสดงตนต่อศาลและให้ปากคำต่อศาลหรือไม่ จะรับสารภาพ หรือปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยการปรากฎตัวของจำเลยจะถือเป็นจุดชี้ขาดและต้องดำเนินการก่อนวันสิ้นอายุความ จึงขอให้สื่อมวลชนช่วยติดตามเรื่องดังกล่าว ส่วนตนเองได้ติดตามเรื่องนี้มาตลอด แต่ในวันที่ 12 กันยายน นี้ ไม่อาจเดินทางไปร่วมสังเกตการณ์ได้เนื่องจากติดการประชุมรัฐสภา วาระเร่งด่วนแถลงนโยบายของรัฐบาล แต่พรรค ปชน.ได้เตรียมส่งทีมงานของพรรคไปสังเกตการณ์ในวันดังกล่าวแล้ว อย่างไรก็ตามเชื่อมั่นว่าพลเอก พิศาล จะแสดงสปิริตเดินทางไปรับฟังการพิจารณาของศาล

           ด้านนายจุลพงษ์ กล่าวชี้แจงข้อสงสัย กรณีวันที่ 12 กันยายน นี้ ตรงกับวันประชุมร่วมกันของรัฐสภา ซึ่งอาจส่งผลให้จำเลยที่ 1 ไม่สามารถเดินทางไปตามที่ศาลนัดได้ และเพราะเหตุใดศาลรับฟ้องคดีแล้วแต่คดียังขาดอายุความได้อยู่ โดยระบุว่าคดีอาญาที่ราษฎรเป็นโจทก์ จะต้องมีกระบวนการพิจารณาไต่สวนหรือฟ้อง จำเป็นต้องดูว่าคดีมีมูลหรือไม่ ซึ่งคดีนี้ศาลได้ไต่สวนแล้วพบว่ามีมูล ได้แก่จำเลย 7 คน ศาลจึงรับฟ้องไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ตามประมวลกฎหมายอาญาเรื่องอายุความคดีอาญาต้อง มีองค์ประกอบ 2 อย่าง คือศาลรับฟ้องและได้ตัวผู้กระทำความผิดเดินทางมาแสดงตัวต่อศาล ซึ่งขณะนี้เงื่อนไขแรกนั้นถือว่าครบแล้ว เหลือเพียงให้จำเลยเดินทางมายังศาล ทั้งนี้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 125 ระบุว่าในกรณีที่มีการฟ้องร้อง สส.หรือ สว.ในคดีอาญาไม่ว่าจะฟ้องนอกหรือในสมัยประชุมสภา ศาลจะพิจารณาคดีนั้นในระหว่างสมัยประชุมก็ได้ แต่ต้องไม่ขัดขวางการที่สมาชิกผู้นั้นต้องมาร่วมประชุมสภา ดังนั้นตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 12 กันยายน นี้ หากจำเลยคนเดียวหรือทั้ง 7 คน เดินทางไปยังศาล จะถือว่าคดีไม่ขาดอายุความสำหรับบุคคลนั้น แต่หากวันที่ 12 กันยายน จำเลยไม่เดินทางไปศาล คดีก็จะยังไม่ขาดอายุความ จนกว่าจะถึงวันที่ 25 ตุลาคม อย่างไรก็ตามในทางปฏิบัติ หากจำเลยที่เป็น สส.เดินทางไปศาลในวันที่ 12 กันยายน ศาลจะให้ประกันตัวเนื่องจากตรงกับวันประชุมรัฐสภา ทั้งนี้ตนเองขอเรียกร้อง ตามนโยบายของรัฐบาลที่เตรียมจะแถลงต่อรัฐสภาเรื่องการคงไว้ซึ่งหลักนิติธรรม หรือความเป็นธรรมทางกฎหมาย ขอให้จำเลยทั้ง 7 คนเข้าไปต่อสู้คดีต่อศาล จะเป็นการคงไว้ซึ่งหลักนิติธรรมของประเทศ

 

ณัฐเดช เอียดปุ่ม /ข่าว /เรียบเรียง

ประมวลผลภาพ

วิดีโอ