ภายหลังการประชุมคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงิน และการคลัง วุฒิสภา วาระพิจารณาศึกษาในประเด็นผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจไทย ปัญหาเชิงโครงสร้าง ช่องโหว่เชิงระบบ และการบังคับใช้กฎหมายของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการสกัดกั้นการเคลื่อนย้ายเงินทุนของเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ กรณีศึกษา : การยึด อายัดทรัพย์ เครือข่ายใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับสแกมเมอร์ข้ามชาติ โดยเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 6 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานคณะกรรมการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมกรรมาธิการ อาคารรัฐสภา
นายพงษ์ศักดิ์ เกิดวงศ์บัณฑิต รองประธานคณะกรรมาธิการฯ และประธานอนุกรรมาธิการด้านการเงิน กล่าวว่า หลักการของวุฒิสภายินดีสนับสนุนและประสานงานให้การดำเนินงานเรื่องดังกล่าวประสบความสำเร็จและมีประสิทธิภาพโดยเร็ว โดยที่ประชุมสรุปได้ว่า ตามที่ต่างชาติแจ้งว่ากัมพูชาเป็นแหล่งสแกมเมอร์ของโลกและประเทศไทยเป็นแหล่งฟอกเงินของโลก ซึ่งข้อเท็จจริงนั้น เงินที่เข้ามายังประเทศไทยถูกฟอกมาแล้วผ่านบริษัทในประเทศสิงคโปร์ จึงอยากจะแก้ข่าวว่าประเทศไทยไม่ใช่แหล่งฟอกเงินของโลก แต่เป็นเหยื่อของเงินที่ฟอกมาเช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ ซึ่งเรื่องนี้กระทบต่อตลาดหลักทรัพย์ของประเทศไทยอย่างรุนแรง การที่สำนักงาน ก.ล.ต. ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการทุจริตของผู้บริหารบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ล่าช้า จนปัจจุบันมีเรื่องการฟอกเงิน การครอบงำบริษัทใหญ่ ๆ ในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อใช้เป็น Money Laundering Machine หรือแหล่งฟอกเงินระยะยาวในอนาคต
ขณะที่เรื่องสินทรัพย์ที่ถูกอายัดหมื่นกว่าล้านบาท คณะกรรมาธิการฯ ซักถามว่าจะสามารถทำคดีได้ทันภายใน 90 วันหรือไม่ และเงินจากสแกมเมอร์ของกัมพูชากว่า 2.2 ล้านล้านบาท น่าจะมีเงินอย่างน้อย 2.2 แสนล้านบาท อยู่ในไทยแล้ว หาก ปปง. และหน่วยงานอื่น ๆ ร่วมกัน จะสามารถขยายผลทำให้ยึดเงินจำนวนดังกล่าวมาเยียวยาผู้เสียหาย และตกเป็นของแผ่นดิน เป็นรายได้ของประเทศได้ สุดท้ายมีเรื่องของ ปปง. ที่ทำงานไม่ทัน โดยพบว่ามีเรื่องร้องเรียนจำนวนมาก ทั้งคอลเซ็นเตอร์และเรื่องอื่น ๆ นอกจากนี้ ยังมีการพูดถึงการตั้งกองทุนให้ ปปง. โดยการระดมทุน หากประชาชนเห็นว่า ปปง. ทำงานประสบความสำเร็จมีเป้าหมายชัดเจน หรือจะตัดจาก 20% ของเงินที่ยึดได้ ซึ่งจะช่วยให้ ปปง. สามารถเปิดรับเจ้าหน้าที่เพิ่มเติมหรือจ้างบุคลากรภายนอก เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้รวดเร็วยิ่งขึ้นได้ ซึ่งข้อเสนอดังกล่าวนี้สามารถพูดคุยกันต่อได้ในอนาคต
นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันกองทัพไทยกำลังต่อสู้กับทหารกัมพูชา รัฐบาลเองก็ต้องสู้กับสแกมเมอร์กัมพูชา
เมื่อถามถึงการนำเงินมาคืนผู้เสียหาย สามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วหรือไม่ นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า ต้องเข้าใจว่าหากสแกมเมอร์หลอกลวงไปแล้ว เส้นเงินจบไปแล้ว ซึ่งเงินที่เจ้าหน้าที่ยึดได้เป็นเงินที่ถูกฟอกมาแล้ว ไม่สามารถทราบได้ว่าเป็นของผู้เสียหายคนใด แต่หากเป็นเงินก้อนที่ใหญ่พอสมควร จะคืนผู้เสียหายได้ ซึ่งทาง ปปง. แจ้งว่า เงินที่ยึดมาได้หมื่นกว่าล้านบาท เจอผู้เสียหายที่เป็นเจ้าของเงินเพียง 3,000 ล้านบาท โดยการพิสูจน์ว่าเป็นผู้เสียหายจริงหรือไม่นั้น ต้องดูว่ามีหลักฐานขนาดไหน หรือจะปล่อยให้เป็นรายได้ของแผ่นดินก่อน แล้วจึงนำเข้ากระบวนการเยียวยาภายหลัง
ทั้งนี้ การประชุมคณะกรรมาธิการฯ ในวันนี้ สรุปได้อย่างชัดเจนจากข้อมูลของหน่วยงานภาครัฐทั้ง 6 หน่วยงานที่ต่อสู้กับสแกมเมอร์กัมพูชา และเป็นการกู้ชื่อเสียงของประเทศว่าไทยไม่ใช่แหล่งฟอกเงินของโลก
ทัดดาว ทองอิ่ม ข่าว / เรียบเรียง