การประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา ที่มี นายธวัช สุระบาล ประธาน คณะ กมธ. เป็นประธานการประชุม พิจารณาปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ โดยเชิญผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) และอธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน มาให้ข้อมูล ทำให้คณะ กมธ. ทราบถึงสถานการณ์เกี่ยวกับปลาหมอคางดำจาก กยท. ว่าพื้นที่การระบาดลดลงจาก 19 จังหวัด เหลือ 17 จังหวัด ไม่พบการระบาดในจังหวัดปราจีนบุรีและพัทลุงแล้ว ในขณะที่กรมประมงทำการศึกษาครอบคลุมทุกแหล่งน้ำ วางมาตรการควบคุม 3 ระยะ เร่งด่วน ระยะกลาง และระยะยาว ครอบคลุมการกำจัด การสำรวจเฝ้าระวังและการวิจัยพัฒนา มีการกำจัดปลาหมอคางดำไปแล้วกว่า 7 ล้านกิโลกรัม นำปลาที่จับได้ไปผลิตปลาป่น น้ำหมักชีวภาพ และปลาร้า ทำการปล่อยปลาผู้ล่า เช่น ปลาช่อน ปลาชะโด ปลาอีกง และปลาจะละเม็ดขาว ลงแหล่งน้ำเพื่อควบคุมประชากร วิจัยพัฒนาเทคนิคทำหมันปลาหมอดางดำด้วยโครโมโซม 4N นอกจากนี้ ทำโครงการผลิตน้ำหมักชีวภาพจากปลาหมอคางดำเพื่อเกษตรกรชาวชาวสวนยาง ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2567 ภายใต้ความร่วมมือกับหลายหน่วยงาน อาทิ กรมประมง กรมพัฒนาที่ดิน และกรมส่งเสริมการเกษตร น้ำหมักชีวภาพดังกล่าวจะช่วยเสริมธาตุอาหารรองและจุลินทรีย์ในดินช่วยฟื้นฟูพื้นที่สวนยางที่ปลูกซ้ำหลายรุ่น เพิ่มความแข็งแรงของต้นยาง และช่วยเพิ่มผลผลิตน้ำยาง กยท. รับซื้อปลาหมอคางดำแล้วประมาณ 4 ล้านกิโลกรัม ใช้ต้นทุนผลิตเฉลี่ย 50 บาทต่อลิตร และตั้งราคาขายปลีกลิตรละ 100 บาท จำหน่ายไปแล้ว 1.8 ล้านลิตร เหลือคงคลัง 4.5 ทั้งนี้ การผลิตกระจายผ่านกลุ่มหมอดินอาสาและสถาบันเกษตรกรของ กยท. โดยใช้สูตรหมักมาตรฐาน ของกรมพัฒนาที่ดิน กยท. ตั้งเป้าขยายตลาดน้ำหมักไปยังภาคเกษตรอื่น เช่น ชาวไร่อ้อย นาข้าว และพืชผักสวนครัว หลังพบผลดีต่อการเจริญเติบโตของพืชหลายชนิด แม้ยังอยู่ระหว่างการวิจัยเพิ่มเติมด้านผลผลิตและการต้านทานโรค
คณะ กมธ. การเกษตรและสหกรณ์ ยังได้ทราบข้อมูลเกี่ยวกับการจัดการปัญหาและการสร้างประโยชน์จากปลาหมอคางดำของกรมพัฒนาที่ดิน ว่าได้วิเคราะห์คุณภาพน้ำหมักชีวภาพปลาหมอคางดำ พบว่ามีธาตุธาตุอาหารรองและจุลธาตุ เช่น สังกะสี แคลเซียมแมกนี่เซียม กำมะถัน รวมถึงมีกรดฮิวมิก (Humic Acid) สูงถึงถึง 36.57 กรัมต่อกิโลกรัม ซึ่งช่วยส่งเสริมการดูดซึมธาตุอาหารของพืช และมีส่วนช่วยต้านทานโรคใบไม้ร่วงในยางพารา กรมพัฒนาที่ดินเผยว่าการผลิตน้ำหมักสามารถกำจัดปลาหมอคางคำได้ในปี 67 รวมจำนวน 1,198 ตัน ได้น้ำหมักกว่า 1.9 ล้านลิตร ใช้งบประมาณรวม 14 ล้านบาท น้ำหมักชีวภาพดังกล่าวถูกแจกจ่ายให้กับเครือข่ายหมอดินอาสา เกษตรกรอินทรีย์ และเกษตรกรกรแปลงใหญ่ โดยไม่มีการจำหน่าย คาดว่าช่วยลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรได้ร้อยละ 25 - 30 ผลการใช้ในพื้นที่ภาคกลางพบว่าคุณภาพดินดีขึ้นเกษตรกรลดต้นทุนได้ 3,000 - 5,000 บาทต่อไร่ต่อปี
อัญชิสา ก่อกิจฤกษ์ชัย ข่าว/เรียบเรียง