9 พ.ย.68 - อนุ กมธ.ด้านความมั่นคงทางอาหาร วุฒิสภา ศึกษาความมั่นคงและความปลอดภัยทางอาหารรับมือโลกร้อน เสนอปรับระบบเกษตรสู่เกษตรนิเวศ – ลดผูกขาด มุ่งคุ้มครองเกษตรกรรายย่อย พร้อมจัดทำยุทธศาสตร์ระยะยาวด้านเกษตรนิเวศและความมั่นคงทางอาหาร

image

          นางกัลยา ใหญ่ประสาน ประธานคณะอนุกรรมาธิการด้านความมั่นคงทางอาหาร ในคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา เป็นประธานการประชุม พิจารณาศึกษาความมั่นคงและความปลอดภัยทางอาหารในการเกษตร

          โดยที่ประชุมได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับภาพรวมสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบการผลิตอาหารและความมั่นคงทางอาหารของโลก จากรายงานขององค์กรระหว่างประเทศ อาทิ คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพและบริการระบบนิเวศ ซึ่งชี้ให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบการผลิตอาหารและความมั่นคงทางอาหารของโลก โดยเฉพาะหากอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ผลผลิตทางการเกษตรทั่วโลกอาจลดลงร้อยละ 6 – 9 และจะรุนแรงยิ่งขึ้นหากแตะระดับ 2 องศาเซลเซียส โดยผลกระทบดังกล่าวยังส่งผลต่อระบบนิเวศอาหาร อาทิ การลดลงของแมลงผสมเกสร และความสามารถในการดูดซับคาร์บอนของดิน ซึ่งเป็นผลจากการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ โดยกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ได้แก่ เกษตรกรรายย่อย ชุมชนท้องถิ่น และประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งมีความเสี่ยงสูงต่อภัยแล้ง น้ำท่วม และโรคพืช

            นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้หารือถึงความเปราะบางของระบบเกษตรเชิงเดี่ยวที่มีฐานพันธุกรรมแคบ ซึ่งไม่สามารถปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงแนวโน้มการขยายตัวของกลไกด้านสิ่งแวดล้อม อาทิ ระบบคาร์บอนเครดิต ที่ยังมีความไม่แน่นอนในด้านข้อมูลและประสิทธิผลในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ขณะที่แนวคิด Carbon Farming แม้มีศักยภาพในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ยังมีความเสี่ยงต่อสิทธิในที่ดินและการจัดการทรัพยากรของเกษตรกรรายย่อย ส่วนเทคโนโลยีลดคาร์บอน อาทิ การใช้พันธุกรรมดัดแปลง แม้มีประสิทธิภาพเชิงเทคนิค แต่ยังสร้างความกังวลเรื่องการผูกขาดโดยกลุ่มทุนเทคโนโลยีรายใหญ่ อีกทั้ง สหภาพยุโรป ได้เตรียมขยายการบังคับใช้มาตรการกลไกปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน CBAM กับสินค้าเกษตร ซึ่งจะเป็นความท้าทายสำคัญต่อประเทศผู้ส่งออก รวมถึงประเทศไทย

            สำหรับสถานการณ์ภายในประเทศไทย ที่ประชุมพบว่า ไทยมีความเสี่ยงสูงจากผลกระทบของโลกร้อน แต่การลดก๊าซเรือนกระจกในภาคเกษตรยังอยู่ในระดับต่ำ โดยครัวเรือนเกษตรกรที่สามารถเข้าถึงระบบชลประทานมีเพียงร้อยละ 26 ขณะที่พื้นที่เพาะปลูกส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ปลูกข้าวนาปีและนาปรัง ซึ่งเป็นพืชที่ใช้น้ำมากแต่มูลค่าทางเศรษฐกิจต่ำ ดังนั้น ที่ประชุมจึงมีข้อเสนอเชิงนโยบาย ได้แก่ ควรมีการเปลี่ยนผ่านจากเกษตรเชิงเดี่ยวสู่เกษตรเชิงนิเวศที่ยั่งยืนและเป็นธรรม การส่งเสริมโปรตีนพืชท้องถิ่นแทนโปรตีนสัตว์เชิงอุตสาหกรรม การคุ้มครองระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ การจัดตั้งระบบเตือนภัยและประกันความเสี่ยงให้เกษตรกร พร้อมจัดทำยุทธศาสตร์ระยะยาวด้านเกษตรนิเวศและความมั่นคงทางอาหาร

อรุณี ตันศักดิ์ดา ข่าว/เรียบเรียง

อนุ กมธ.ด้านความมั่นคงทางอาหาร วุฒิสภา ข้อมูล/ภาพ

 

 

ประมวลผลภาพ

วิดีโอ