นายนพดล พริ้งสกุล สมาชิกวุฒิสภา (สว.) กล่าวถึงสถานการณ์น้ำท่วมขังในพื้นที่ “บางระกำโมเดล” อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งเป็นพื้นที่รับน้ำสำคัญสำหรับภาคกลาง โดยระบุว่า “บางระกำโมเดล” เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 มีแนวคิดในการใช้พื้นที่ลุ่มต่ำเป็นทุ่งหน่วงน้ำเพื่อลดปัญหาน้ำหลากของภาคกลาง แต่ในทางปฏิบัติกลับพบว่าระบบระบายน้ำมีข้อจำกัดอย่างมาก โดยน้ำไหลเข้าทุ่งประมาณ 250 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที แต่สามารถระบายออกได้เพียง 80-100 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีเท่านั้น นอกจากนี้ ถนนและคันดินที่สร้างขึ้นยังกลายเป็นอุปสรรคในการระบายน้ำ ทำให้เกิดน้ำท่วมขังเป็นระยะเวลานาน โครงการดังกล่าวกลายเป็นพื้นที่ที่ต้องแบกรับน้ำอย่างถาวร ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อประชาชนและเศรษฐกิจในพื้นที่ ทั้งนี้ ตามที่ตนได้ลงพื้นที่และประชุมร่วมกับประชาชนในตำบลบางระกำเมื่อวันที่ 26 ต.ค.68 พบว่า ปัจจุบันทุ่งบางระกำที่มีเนื้อที่ประมาณ 265,000 ไร่ มีปริมาณน้ำกักเก็บสูงกว่า 500 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งเกินความจุเดิมที่กำหนดไว้ที่ 400 ล้านลูกบาศก์เมตร ส่งผลให้บางหมู่บ้านมีระดับน้ำท่วมสูงเฉลี่ย 2.50 เมตร สูงสุดถึง 2.60 เมตร ประชาชนกว่า 6,000 ครัวเรือนต้องประสบภาวะน้ำท่วมนานกว่าหนึ่งเดือน และก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจประมาณ 150 ล้านบาท
นายนพดล กล่าวถึงสภาพปัญหาพื้นที่บางระกำ ว่า การทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังขาดการบูรณาการอย่างเป็นระบบ ไม่มีศูนย์บัญชาการร่วมที่มีประสิทธิภาพ ทำให้การเปิด-ปิดประตูระบายน้ำและการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยไม่มีประสิทธิภาพและไม่สอดคล้องกัน ขณะที่ปัญหาด้านความเป็นธรรม แม้ประชาชนในพื้นที่จะเข้าใจและยอมรับบทบาทในการเป็นพื้นที่รับน้ำเพื่อช่วยเหลือพื้นที่อื่น แต่ยังขาดความเป็นธรรมทั้งในด้านการจัดการน้ำและการชดเชยค่าเสียหายที่เหมาะสม ดังนั้น เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเป็นระบบและยั่งยืน ตนมีข้อเสนอถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาเร่งด่วน 3 ประการ 1. จัดตั้งศูนย์บัญชาการบริหารจัดการน้ำบางระกำแห่งเดียว (Single Command) โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลกเป็นประธาน ร่วมกับกรมชลประทาน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดแผนการจัดการน้ำและแผนการระบายน้ำอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ 2. พัฒนาระบบเตือนภัยและแดชบอร์ดข้อมูลระดับน้ำในแต่ละหมู่บ้านแบบเรียลไทม์ เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่สามารถรับทราบข้อมูลและเตรียมความพร้อมล่วงหน้าอย่างน้อย 7-14 วัน 3. กำหนดมาตรการชดเชยเชิงสิทธิและฟื้นฟูอย่างเป็นธรรม สำหรับพื้นที่ที่ต้องรับภาระน้ำ หรือจัดตั้งกองทุนฟื้นฟูพื้นที่หลังน้ำท่วม พร้อมทั้งจัดให้มีมาตรการพักชำระหนี้และฟื้นฟูอาชีพให้แก่ประชาชนผู้ประสบภัยหลังน้ำลด
นายนพดล ย้ำว่า พื้นที่บางระกำไม่เพียงแต่เป็นพื้นที่รับน้ำเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนสำคัญของระบบบริหารจัดการน้ำของภาคเหนือตอนล่าง จึงสมควรที่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเร่งดำเนินการบริหารจัดการน้ำให้มีความสมดุลและเป็นธรรมต่อทุกพื้นที่อย่างเท่าเทียมกัน เพื่อให้พื้นที่แห่งนี้กลายเป็นพื้นที่ที่มีโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิต ไม่ใช่พื้นที่ที่ต้องแบกรับความทุกข์ยากลำบากอย่างต่อเนื่อง
ณัฐพล สงวนทรัพย์ ข่าว/เรียบเรียง