นายนพดล อินนา สมาชิกวุฒิสภา (สว.) แถลงผลการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาข้อดีข้อเสียการยกเลิก MOU 2543 และ 2544 ว่ามีการศึกษาความคืบหน้าเพื่อรายงานต่อวุฒิสภา โดยพิจารณา 2 ประเด็นหลัก คือ การได้มาซึ่ง MOU ทั้งสองฉบับว่าชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมายหรือไม่ และเรื่องเนื้อหาของ MOU ว่าสามารถปฏิบัติได้จริงและเป็นประโยชน์ต่อประชาชนเพียงใด สำหรับ MOU 2543 คณะ กมธ. ได้ศึกษาความเป็นมาและการทำงานของคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง เช่น RBC, GBC และ JBC ซึ่งยังดำเนินการอยู่ แม้ไม่มี MOU ดังกล่าว การปักปันเขตแดนมีมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1904 และ 1907 แต่บางหลักเขตสูญหายหรือถูกทำลาย จึงต้องมีการทบทวนให้สอดคล้องกับการปกป้องอธิปไตยของประเทศ ส่วน MOU 2544 กมธ.ได้ลงพื้นที่ศึกษาที่จังหวัดตราดในช่วงต้นเดือนตุลาคม พบประเด็นการละเมิดในพื้นที่ทางบกและทางทะเล แต่เนื่องจากเรื่องนี้มีข้อมูลมากและซับซ้อน จึงต้องใช้เวลาศึกษาต่อไป เพื่อให้การตัดสินใจรอบคอบ ไม่ใช้อารมณ์หรืออคติ แต่ยึดข้อมูลที่เป็นวิทยาศาสตร์เป็นหลัก
นายนพดลกล่าวว่า การคงอยู่ ปรับปรุง หรือยกเลิก MOU ต้องมีเหตุผลและแนวทางชัดเจนให้รัฐบาลดำเนินการต่อ โดยต้องพิจารณากฎหมายระหว่างประเทศ หากเป็นสนธิสัญญา การเปลี่ยนแปลงต้องอยู่บนหลักสากล คณะ กมธ.มีกรอบเวลาศึกษา 90 วัน หากเสร็จก่อนจะรายงานต่อวุฒิสภาทันที และให้ข้อมูลต่อสื่อมวลชน เพื่อให้ประชาชนเข้าใจข้อดีข้อเสียของ MOU ทั้งสองฉบับ ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ประชาชนตัดสินใจได้ว่า ควรคงไว้หรือปรับปรุงอย่างไร ส่วนกรณีที่นายกรัฐมนตรีลงนามข้อตกลงสันติภาพกับกัมพูชา ในการประชุมสุดยอดอาเซียนที่มาเลเซีย นายนพดลกล่าวว่า ถือเป็นเรื่องดี เพราะในข้อ 6 ระบุให้ดำเนินการปักปันเขตแดน ซึ่งเชื่อมโยงกับ MOU 2543 และช่วยส่งเสริมสันติภาพระหว่างสองประเทศ โดยมีสหรัฐอเมริกาและชาติอาเซียนร่วมเป็นสักขีพยาน ถือเป็นภาพลักษณ์ที่ดีของไทยในเวทีโลก
นายนพดลย้ำว่า ไทยไม่ได้สูญเสียอะไรจากการลงนามสันติภาพครั้งนี้ และการพิจารณา MOU 2543–2544 จะตัดสินใจได้หลังจากได้ข้อมูลครบถ้วนว่าควรคงไว้หรือปรับปรุงแก้ไขอย่างไร
อัญชิสา ก่อกิจฤก์ชัย ข่าว/เรียบเรียง