ที่ประชุมวุฒิสภา ที่มีนายบุญส่ง น้อยโสภณ รองประธานวุฒิสภา คนที่สอง ทำหน้าที่ประธานการประชุม โดยมีวาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) โคนมและผลิตภัณฑ์นม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรลงมติเห็นชอบแล้ว สำหรับหลักการและเหตุผลร่าง พ.ร.บ.โคนมและผลิตภัณฑ์นม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เป็นการแก้ไขเพิ่ม พ.ร.บ.โคนมและผลิตภัณฑ์นม พ.ศ. 2551 โดยแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 3 บทนิยามคำว่า “ผลิตภัณฑ์นม” “น้ำนมโค” “เกษตรกรโคนม” และ “ผู้แทนผู้ประกอบการอุตสาหกรรมนม” โดยเพิ่มบทนิยามคำว่า “ผู้แทนเกษตรกรโคนม” และ “ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมนม” และยกเลิกบทนิยามคำว่า “ผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นม” และ “ผู้แทนผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นม” รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 4 องค์ประกอบของคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม หรือ “มิลค์บอร์ด (Milk Board) แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 9 วรรคหนึ่ง เพิ่มจำนวนการประชุมคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมในแต่ละปี และแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 10 อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมให้มีความครอบคลุมการดำเนินการทั้งระบบอุตสาหกรรมนมยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการกำหนดราคาน้ำนมโคและผลิตภัณฑ์นม ทั้งราคาซื้อและราคาจำหน่าย เพื่อแก้ไขปัญหาและอุปสรรคในเรื่องการปรับราคาน้ำนมโคและผลิตภัณฑ์นม
ส่วนเหตุผลความจำเป็นต้องแก้ไข พ.ร.บ.โคนมและผลิตภัณฑ์นม พ.ศ. 2551 นั้น เนื่องจากกฎหมายดังกล่าวใช้บังคับมาแล้วเป็นเวลา 16 ปี และยังไม่เคยมีการแก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งในทางปฏิบัติยังคงมีปัญหาและอุปสรรคเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการกำหนดราคา เพราะการปรับราคาน้ำนมโคเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรโคมนมนั้น กระทบกับผู้เกี่ยวข้องในระบบอุตสาหกรรมนมทั้งระบบ การที่คณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมมีแต่เพียงอำนาจในการกำหนดราคารับซื้อน้ำนมโคและผลิตภัณฑ์นม แต่ไม่มีอำนาจกำหนดราคาจำหน่ายน้ำนมโคและผลิตภัณฑ์นม ทำให้การปรับราคาน้ำนมโคเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรโคมนม ไม่สามารถดำเนินการได้อย่างทันท่วงที จึงเห็นสมควรแก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบคณะกรรมการ และอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและผู้เกี่ยวข้องในระบบอุตสาหกรรมนมทั้งระบบ รวมถึงบทนิยามที่ยังไม่ชัดเจน จึงจำเป็นต้องตรากฎหมายฉบับนี้
นายฤชุ แก้วลาย รองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา กล่าวสรุปผลการศึกษาร่างกฎหมายโคนมฯ ของ กมธ. ว่า ร่างกฎหมายนี้มีเจตนาสำคัญในการเพิ่มอำนาจและปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมให้สามารถบริหารจัดการอุตสาหกรรมนมได้อย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยให้คณะกรรมการฯ ดังกล่าวมีอำนาจกำหนดราคาน้ำนมโคและผลิตภัณฑ์นม ตั้งแต่น้ำนมดิบ ศูนย์รวมนม โรงงานแปรรูป ซึ่งเดิมที่มีอำนาจเพียงการกำหนดราคาซื้อน้ำนมโคจากเกษตรกรเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีอำนาจกำหนดหลักเกณฑ์คุณภาพ วันรับซื้อ และวันหยุดรับซื้อน้ำนมโค และกำหนดเบี้ยปรับหรือบทลงโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืนด้วย ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการฯ จัดทำรายงานการประชุมและรายงานผลการดำเนินงานประจำปี โดยต้องเผยแพร่ต่อสาธารณะภายใน 1 เดือนนับแต่วันที่รับรอง และควรมีการประชุมอย่างน้อยปีละ 4 ครั้ง
สมาชิกวุฒิสภา (สว.) หลายคนได้อภิปรายสนับสนุนร่างกฎหมายฉบับนี้ โดยนางสาวภิญญาพัชญ์ ศันสนียชีวิน สว. กล่าวว่า ปัจจุบัน จำนวนเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมของไทยลดลงอย่างน่ากังวล โดยในปี 2566 มีเกษตรกรโคนมกว่า 22,000 ราย แต่ในปี 2567 ลดลงเหลือเพียง 16,500 ราย คิดเป็น 26.68% โดยสาเหตุหลัก คือ ต้นทุนการผลิต ได้แก่ อาหารสัตว์ ค่าขนส่ง พลังงาน ที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ราคาซื้อน้ำนมดิบกลับไม่ปรับเพิ่มตามต้นทุนที่แท้จริง ทำให้ฟาร์มขนาดเล็กมีกำไรต่ำและบางส่วนต้องตัดสินใจเลิกอาชีพ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตนจะเห็นด้วยในหลักการ แต่เรื่องการเปิดเผยข้อมูลต้นทุนและราคา ต้องทำอย่างระมัดระวังไม่ให้การเปิดเผยข้อมูลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการในประเทศ โดยเฉพาะข้อมูลเชิงกลยุทธ์ของโรงงานหรือผู้ผลิต ขณะที่มาตรการคุ้มครองหรือสนับสนุนเกษตรกรรายย่อย จากผลกระทบจากการทำข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทยกับนิวซีแลนด์และออสเตรเลีย ยังไม่มีมาตรการเฉพาะ อาจส่งผลให้เกษตรกรรายย่อยจะไม่สามารถแข่งขันกับนมราคาถูกที่นำเข้าจากต่างประเทศได้ ทั้งนี้ ตนมีข้อเสนอแนะให้จัดตั้งกองทุนพัฒนาอุตสาหกรรมโคนม เพื่อสนับสนุนเกษตรกรรายย่อยในการปรับตัว พัฒนาเทคโนโลยี และยกระดับคุณภาพผลผลิต โดยเฉพาะผู้ที่ขาดทุนทรัพย์และความรู้ด้านนวัตกรรม รวมทั้งสนับสนุนการใช้นมสดในพื้นที่ในการดำเนินโครงการนมโรงเรียน เพื่อช่วยกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น ข้อเสนอทั้งหมดนี้ไม่ใช่การปกป้องแบบปิดกั้น แต่คือ “การสร้างภูมิคุ้มกันที่เป็นธรรม” เพื่อให้เกษตรกรไทยสามารถแข่งขันได้อย่างมีศักดิ์ศรีในตลาดเสรี
นายเศรณี อนิลบล สว. กล่าวอภิปรายสนับสนุนร่างกฎหมายโคนมฯ ว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญในการปฏิรูปและแก้ไขปัญหาเกษตรโคนมที่หมักหมมมานาน โดยเฉพาะโครงการนมโรงเรียน ในเรื่องความเป็นธรรม ซึ่งรัฐบาลควรทบทวนกรอบงบประมาณโครงการนมโรงเรียนเคยตั้งไว้ที่ 15,000 ล้านบาท แต่ใช้ไปเพียง 11,000 ล้านบาท แต่ปริมาณน้ำนมดิบที่เข้าสู่สัดส่วนนมโรงเรียนนั้นน้อยมาก ดังนั้น ตนมีข้อเสนอแนะให้รัฐบาลกำหนดนโยบายให้เด็กและเยาวชนได้บริโภคนม ตลอด 365 วัน จากที่ปัจจุบันเด็กได้รับนมเพียง 200 กว่าวันเท่านั้น ซึ่งจำเป็นต้องใช้งบประมาณเพิ่มอีกประมาณ 4,000 ล้านบาท ซึ่งยังอยู่ในกรอบงบประมาณที่ตั้งไว้ และจะเกิดประโยชน์อย่างยิ่งต่อเกษตรกร ที่สำคัญองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ได้รับสัดส่วนในการทำนมโรงเรียนน้อยเกินไป ตนขอเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งปราบปรามการทุจริตในทุกองค์คาพยพ ที่เกี่ยวข้องกับนมโรงเรียนและองค์กรต่างๆ เช่น อ.ส.ค. ซึ่งประสบปัญหาขาดทุนมาโดยตลอดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และขาดความไม่โปร่งใสในการจัดซื้อกระดาษสำหรับทำกล่องนมและสารปรุงรสเกินกว่ากำลังการผลิตเป็น 100% ตนเชื่อว่า หาก พ.ร.บ. ฉบับใหม่นี้มีผลใช้บังคับจะนำไปสู่การปฏิรูประบบการบริหารงานของ อ.ส.ค.ทั้งหมด เพื่อให้เกษตรกรโคนมของไทยสามารถผลิตนมที่มีคุณภาพให้กับคนไทยได้อย่างยั่งยืน
นายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวขอบคุณ สว. ทุกคนที่ให้ความสำคัญกับการพิจารณาร่างกฎหมายฉบับนี้ในวาระรับหลักการ ทั้งนี้ ตนจะนำความเห็นของ สว. ที่สะท้อนผ่านที่ประชุมวุฒิสภา ทั้งเรื่องความโปร่งใส่ของ อ.ส.ค. การตลาด การวิจัยและพัฒนาโคนม และผลิตภัณฑ์นม เป็นเรื่องที่ตนจะนำไปดำเนินการต่อไป เรื่องใดที่สามารถแก้ไขในระดับกฎกระทรวงได้ตนจะรีบดำเนินการทันที
ภายหลัง สว. อภิปรายร่างกฎหมายฉบับนี้อย่างกว้างขวางแล้ว ที่ประชุมวุฒิสภา ลงมติรับหลักการแห่งร่าง พ.ร.บ.โคนมและผลิตภัณฑ์นม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรลงมติเห็นชอบแล้ว ไว้พิจารณา ด้วยคะแนนเสียงเห็นด้วย 161 เสียง ไม่เห็นด้วยไม่มี งดออกเสียง 3 เสียง ไม่ลงคะแนน 1 เสียง พร้อมทั้งและมีมติตั้งคณะ กมธ.วิสามัญเพื่อพิจารณาร่างกฎหมายโคมนมฯ จำนวน 21 คน เพื่อพิจารณาในวาระที่สอง และกำหนดเวลาแปรญัตติ 7 วันทำการ
ณัฐพล สงวนทรัพย์ ข่าว/เรียบเรียง