ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายฉลาด ขามช่วง รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่สอง ทำหน้าที่ประธานการประชุม โดยมีวาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. .... ซึ่งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว โดยเป็นการพิจารณาในวาระที่สอง เรียงตามลำดับมาตรา ซึ่งเป็นการพิจารณาต่อจากการประชุมสภาฯ เมื่อวานนี้ (24 ก.ย.68) ซึ่งได้มีการพิจารณาถึงมาตรา 9/7 และวันนี้ (25 ก.ย.68) เริ่มพิจารณาต่อเริ่มจากหมวด 2 คณะกรรมการเพื่อการจัดการอากาศสะอาด สำหรับหลักการและความสำคัญของร่างกฎหมายฉบับนี้ เป็นการรวมร่างกฎหมายงจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) พรรคการเมืองทั้งจากฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้าน รวมถึงจากภาคประชาชน จนกลายเป็นฉบับเดียว แบ่งเป็น 10 หมวด จำนวน 104 มาตรา มีเป้าหมายเพื่อบริหารจัดการและควบคุมมลพิษทางอากาศอย่างเป็นระบบ ครอบคลุมสิทธิของประชาชนในอากาศสะอาด กลไกการบริหารจัดการ การกำหนดมาตรฐานคุณภาพอากาศ การป้องกันและควบคุมมลพิษจากแหล่งกำเนิดต่าง ๆ การจัดตั้งคณะกรรมการและองค์กรที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการจัดทำ “กองทุนเพื่ออากาศสะอาด” และการกำหนดบทลงโทษสำหรับผู้ก่อมลพิษ สำหรับสาระสำคัญของร่างกฎหมายฉบับนี้ กำหนดให้การมีอากาศสะอาดเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน และรัฐมีหน้าที่ต้องดำเนินการเพื่อปกป้องสิทธินี้ โดยมีการจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายอากาศสะอาด ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ทำหน้าที่กำหนดนโยบาย และแผนแม่บทการบริหารจัดการอากาศสะอาด ขณะที่คณะกรรมการบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด มีหน้าที่กำกับดูแลการดำเนินงานตามนโยบายและเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ คณะกรรมการวิชาการเพื่ออากาศสะอาด รับผิดชอบกำหนดมาตรฐานคุณภาพอากาศและมาตรการควบคุมมลพิษ ส่วนคณะกรรมการอากาศสะอาดจังหวัด/กรุงเทพมหานคร มีผู้ว่าราชการจังหวัด หรือผู้ว่าราชการ กทม. เป็นประธาน เพื่อดำเนินการตามแผนในระดับพื้นที่
ร่างกฎหมายนี้รับรองสิทธิของประชาชนในอากาศสะอาด ซึ่งครอบคลุมถึงสิทธิในการได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง รวดเร็ว และเข้าถึงง่ายเกี่ยวกับคุณภาพอากาศและผลกระทบต่อสุขภาพ นอกจากนี้ยังให้สิทธิในการมีส่วนร่วมกับภาครัฐในการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายและแผนงาน ประชาชนยังมีสิทธิในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมทางสิ่งแวดล้อมเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายที่เกิดจากมลพิษทางอากาศ นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดมาตรการและเครื่องมือหลายประการเพื่อจัดการปัญหามลพิษทางอากาศ ได้แก่ มาตรการควบคุมมลพิษ โดยกำหนดมาตรฐานการระบายสารมลพิษจากแหล่งกำเนิดต่าง ๆ ทั้งจากโรงงานอุตสาหกรรม การเผาในที่โล่ง ยานพาหนะ ภาคเกษตรกรรม และมลพิษข้ามแดน โดยมีการกำหนดเขตพื้นที่เฝ้าระวังมลพิษและเขตประสบมลพิษทางอากาศ เพื่อให้สามารถใช้มาตรการควบคุมที่เข้มงวดและเหมาะสมกับสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่ ขณะเดียวกันก็มีการใช้เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์เพื่อส่งเสริมให้ผู้ก่อมลพิษปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น การจัดเก็บค่าธรรมเนียมเพื่ออากาศสะอาด การลดหย่อนภาษี หรือการให้สิทธิประโยชน์ โดยเฉพาะการจัดตั้งกองทุนอากาศสะอาด เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนสนับสนุนการบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด การวิจัย การพัฒนา และการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ จาก 6 ภาคหลัก ได้แก่ อุตสาหกรรม คมนาคม ป่าไม้ เกษตรกรรม เมือง และการจัดการมลพิษข้ามพรมแดน โดยกำหนดหน้าที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในการประสานความร่วมมือกับต่างประเทศ และมีอำนาจห้ามนำเข้าสินค้าจากแหล่งกำเนิดมลพิษข้ามแดน รวมทั้งให้อำนาจเจ้าพนักงานเพื่ออากาศสะอาดในการเรียกข้อมูลสั่งให้ดำเนินการ และออกคำสั่งเกี่ยวกับแหล่งมลพิษ นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดบทลงโทษและความรับผิดชอบ รวมทั้งความรับผิดทางแพ่ง หากผู้ใดก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศจนทำให้ผู้อื่นได้รับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สิน จะต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าสินไหมทดแทนและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมให้กลับสู่สภาพเดิม ส่วนบทลงโทษอาญา ประกอบด้วยโทษจำคุกและ/หรือปรับสำหรับผู้ที่กระทำความผิดตามมาตราที่กำหนด และกำหนดมาตรการปรับเป็นพินัยเพื่อเป็นการลงโทษที่ไม่ใช่คดีอาญา
อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากสมาชิกได้อภิปรายอย่างกว้างขวาง และลงมติเรียงตามลำดับมาตรา จนมาถึงมาตรา 22 โดยก่อนการลงมติ นายฉลาด ขามช่วง รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่สอง ทำหน้าที่ประธานฯ ในที่ประชุม ได้ตรวจสอบองค์ประชุม เมื่อครบองค์ประชุมแล้ว จึงสั่งให้ลงมติ ผลปรากฏว่า มีสมาชิกฯ ลงมติ 245 เสียง ถือว่าไม่ถึงกึ่งหนึ่ง คือ 246 เสียง ประธานฯ จึงสั่งปิดการประชุม
ณัฐพล สงวนทรัพย์ ข่าว/เรียบเรียง