ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายไชยา พรหมา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง ทำหน้าที่ประธานการประชุม โดยมีวาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. .... ซึ่งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการตั๋วร่วมฯ พิจารณาเสร็จแล้ว และเป็นการพิจารณาต่อจากการประชุมเมื่อวันพุธที่ 20 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยร่างกฎหมายฉบับนี้ ที่ประชุมสภาฯ ได้มีมติรับหลักการแห่งร่างกฎหมายฯ 2 ฉบับที่มีเนื้อหาทำนองเดียวกัน คือ ร่าง พ.ร.บ.การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. .... ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นผู้เสนอ และ ร่าง พ.ร.บ.การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. .... ที่มีนายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ กับคณะ เป็นผู้เสนอ โดยถือเอาร่างกฎหมายที่ ครม. เสนอเป็นหลักในการพิจารณา
สำหรับการพิจารณาร่างกฎหมายตามมาตรา 35 และ มาตรา 37 ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการเงินกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จากพรรคประชาชน หลายคนลุกขึ้นอภิปราย ประกอบด้วยนายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ นายศุภณัฐ มีนชัยนันท์ นายทวิวงศ์ โตทวิวงศ์ นางสาวธิษะณา ชุณหะวัณ และนายจุลพงศ์ อยู่เกษ หลายคนมีข้อกังวล เนื่องจากมองว่าเป็นกลไกที่อนุญาตให้มีการ “ดึง” หรือ “กู้ยืม” เงินจากการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เพื่อนำมาใช้ในกองทุนตั๋วร่วม และเป็นช่องทางในการส่งเงินคืน รฟม. ตามลำดับ ซึ่งอาจไม่เกิดความยั่งยืนในระยะยาว และอาจทำให้รัฐบาลต้องแบกภาระหนี้ เพราะหาก รฟม. ไม่สามารถดำเนินนโยบายดังกล่าวได้อีกต่อไป รัฐก็ไม่ควรแบกรับเกินความจำเป็น อีกทั้งการดำเนินนโยบายประชานิยมเกินควรเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม และนำไปสู่จุดจบที่น่าเศร้าในหลายประเทศที่ใช้นโยบายประชานิยมที่มุ่งเน้นการตรึงราคาสินค้าและบริการจนเกินไป เช่น การตรึงราคาน้ำมันของเวเนซุเอลา อุดหนุนอาหารและแจกจ่ายเงินให้กับประชาชน เมื่อราคาน้ำมันตกต่ำก็ทำให้รัฐบาลขาดรายได้ เกิดภาวะเงินเฟ้อรุนแรงจนเงินไร้ค่าสินค้าขาดแคลนจนเศรษฐกิจล่มสลาย รวมถึงอาร์เจนตินา ที่รัฐบาลใช้นโยบายประชานิยมอุดหนุนค่ำพลังงานมากเกินไปจนทำให้ประเทศต้องเผชิญกับการขาดดุลงบประมาณและหนี้สาธารณะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ สะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงจากนโยบายประชานิยมที่ทำให้เกิดผลเสียกับประชาชนในระยะยาวและยากที่จะหลีกเลี่ยง
นอกจากนี้ สมาชิกหลายคนมีข้อกังวลว่า มาตรา 37 จะทำให้กองทุนตั๋วร่วมต้องจ่ายส่วนต่างค่าโดยสารเต็มจำนวนให้กับรัฐวิสาหกิจหรือเอกชน ทำให้ภาคเอกชนไม่ต้องแบกรับภาระความเสี่ยงใด ๆ ซึ่งอาจนำไปสู่สถานการณ์ที่ความเสี่ยงเป็นของรัฐ แต่ผลกำไรเป็นของเอกชน เช่นเดียวกับการใช้เงินจากกองทุนตั๋วร่วมเพื่อชดเชยกำไรให้กับเอกชนถูกมองว่าไม่โปร่งใส และตรวจสอบได้ยาก รัฐบาลควรใช้วิธีการอุดหนุนผ่านงบประมาณประจำปีที่พิจารณาโดยสภาฯ ซึ่งวิธีการดังกล่าวอาจนำไปสู่ “หนี้สาธารณะซ่อนรูป” และทำให้ประชาชนต้องรับภาระภาษีเพื่อชดเชยหนี้ในอนาคต
นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ ประธานคณะ กมธ.วิสามัญ กล่าวชี้แจงว่า ตนขอบคุณ สส.ฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้าน ที่อภิปรายร่างกฎหมายฉบับนี้ โดยมาตรา 35 ที่ระบุให้กองทุนประกอบด้วยเงินและทรัพย์สินจากเงินประเดิมที่รัฐบาลจัดสรรให้ เงินอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรให้จากงบประมาณรายจ่ายประจำปี ค่าธรรมเนียมใบอนุญาต เงินผู้ได้รับใบอนุญาตนำส่งเข้ากองทุนตามมาตรา 36 วรรคหนึ่ง เงินที่ผู้รับใบอนุญาตให้บริการระบบตั๋วร่วมในระบบขนส่งสาธารณะนำส่งเข้ากองทุนตามมาตรา 36 วรรคสอง เงินค่าปรับเป็นพินัย เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้บริจาคให้แก่กองทุน และดอกผลของเงินหรือทรัพย์สินของกองทุน ทั้งนี้ เงินและทรัพย์สินของกองทุน ไม่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ทั้งนี้ มาตรา 35 เปรียบเสมือนช่องทางรายรับของกองทุนตั๋วร่วม ส่วน มาตรา 37 เปรียบเสมือนวัตถุประสงค์ในการใช้จ่ายเงินของกองทุน ซึ่งการอุดหนุนค่าครองชีพของประชาชน เช่น เด็ก นักเรียน คนชรา คนพิการ หรือผู้ทำงานในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องมีเงินสนับสนุน ดังนั้น มาตรา 37 จึงจำเป็นต้องร่างให้สอดคล้องกับมาตรา 35 เพื่อป้องกันความขัดแย้งทางกฎหมาย และเป็นเรื่อง เฉพาะหน้าที่รัฐบาลต้องหาเงินมาดำเนินการตามนโยบายให้เกิดขึ้นได้จริง ทั้งนี้ ยอมรับว่าสมาชิกอาจมีความเห็นต่างกันบ้างในบางมาตรา แต่สาระสำคัญของกฎหมายนี้เป็นประโยชน์ต่อประชาชนทุกคน โดย กมธ.วิสามัญ เห็นด้วยในหลักการว่าประชาชนควรได้รับสิทธิในการเข้าถึงขนส่งสาธารณะที่ราคาถูกและมีคุณภาพ โดยมีการศึกษาในขั้นตอนเตรียมร่าง พ.ร.บ.ตั๋วร่วมฯ มีการระบุแหล่งเงินจากรัฐวิสาหกิจภายใต้กระทรวงคมนาคม เช่น รฟม. หรือ การทางพิเศษฯ ไว้แล้ว เพื่อใช้ในการขับเคลื่อนระบบตั๋วร่วม เนื่องจากเป็นเงินที่มีอยู่แต่ยังไม่ได้นำไปใช้ประโยชน์อย่างไรก็ตาม ตนย้ำว่าร่าง พ.ร.บ. ตั๋วร่วม มีวัตถุประสงค์ที่ใหญ่กว่าแค่การสนับสนุนนโยบาย 20 บาท แต่รวมถึงการใช้บัตรใบเดียวที่สามารถใช้กับรถเมล์และรถไฟฟ้าได้ รวมถึงการคิดค่าโดยสารร่วมจากต้นทางถึงปลายทาง ซึ่งเป็นการบูรณาการระบบขนส่งสาธารณะเพื่อทุกคน
ภายหลังจากสมาชิกอภิปรายอย่างกว้างขวาง และลงมติเรียงตามลำดับมาตราแล้ว จากนั้นเป็นการลงมติในวาระสาม ผลปรากฏว่า ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. .... ด้วยคะแนนเสียงเห็นด้วย 384 เสียง ไม่เห็นด้วยไม่มี งดออกเสียง 2 เสียง ไม่ลงคะแนน 5 เสียง และเห็นชอบกับข้อสังเกตที่คณะ กมธ.วิสามัญ
ณัฐพล สงวนทรัพย์ ข่าว/เรียบเรียง