18 ส.ค.68 - ประธานวุฒิสภา เปิดเวทีสัมมนา “ภาษีทรัมป์ : โจทย์ใหญ่ของเศรษฐกิจไทยหลังการเจรจา" ระดมทุกภาคส่วนวิเคราะห์ผลกระทบ ด้านวงสัมมนา ชี้ ไทยต้องเร่งปรับตัว สร้างขีดความสามารถแข่งขัน และใช้ตำแหน่งยุทธศาสตร์ดึงดูดการลงทุนท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงการค้าโลก

image

          นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา เป็นประธานเปิดการสัมมนาเรื่อง “ภาษีทรัมป์ : โจทย์ใหญ่ของเศรษฐกิจไทยหลังการเจรจา” “Trump Tariffs : Thailand’s Economic Crossroads Post-Negotiation” ซึ่งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การเศรษฐกิจ การเงิน และการคลัง กมธ.การต่างประเทศ กมธ.การพาณิชย์และการอุตสาหกรรม กมธ.การเกษตรและสหกรณ์ และ กมธ.การเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร และการโทรคมนาคม วุฒิสภา จัดขึ้น เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจต่อทิศทางนโยบายภาษีสหรัฐฯ ในอนาคต พร้อมทั้งประเมินผลกระทบต่อกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ และกำหนดยุทธศาสตร์เชิงรุก เพื่อรองรับและสร้างความได้เปรียบให้ประเทศไทยท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจโลก โดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนา กว่า 250 คน ประกอบด้วย กมธ.และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมการสัมมนา ณ ห้องประชุม สัมมนา B1-1 ชั้น B1 อาคารรัฐสภา
      โดย ประธานวุฒิสภา กล่าวว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญความผันผวนจากหลายปัจจัย โดยหนึ่งในประเด็นสำคัญที่ส่งผลต่อประเทศไทย คือ มาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อไม่นานมานี้ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวไม่เพียงกระทบต่อการส่งออกและโครงสร้างทางการค้า แต่ยังมีผลต่อการจ้างงานห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) และความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจไทย ถึงแม้ว่าสถานการณ์ในปัจจุบันที่ไทยได้อัตราภาษีที่ร้อยละ 19 จะออกมาดีกว่าที่หลายฝ่ายเคยกังวล แต่ก็ไม่ใช่สถานการณ์ที่ดีนัก เพราะสถานการณ์โลกในวันนี้เป็นยุคแบบการค้าเสรี และยุคโลกาภิวัตน์ภายใต้การกีดกันการค้า ตลอดจนสถานการณ์การแข่งขันกับสินค้าต้นทุนต่ำ และการเคลื่อนย้ายฐานการผลิตได้ทั่วโลก ผู้ประกอบการไทยจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมการค้าโลกที่เปลี่ยนแปลงไป และสิ่งที่สำคัญของประเทศไทย คือ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ทำให้ต้นทุนสินค้าไทยถูกลง ซึ่งทำให้ผู้บริโภคในประเทศได้บริโภคสินค้าในราคาถูก และส่งออกไปแข่งขันในต่างประเทศได้ นอกจากนี้ ยังต้องผลิตสินค้าที่เป็นที่ต้องการของตลาดและมีมูลค่าสูง ประกอบกับยังช่วยสร้างงานในประเทศ รวมถึงการผลักดันธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ให้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในโครงสร้างการผลิตใหม่ หากสามารถดำเนินมาตรการเหล่านี้ได้อย่างจริงจัง ประเทศไทยจะยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันท่ามกลางกระแสเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน และสามารถเปลี่ยนความท้าทายให้เป็นโอกาสในการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ดังนั้น การจัดเสวนาครั้งนี้นับเป็นโอกาสที่ดี ที่ทุกคนได้ให้ความสำคัญและเข้ามามีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น วิเคราะห์ผลกระทบ และเสนอแนะเชิงปฏิบัติจากมุมมองผู้ปฏิบัติจริงจากทุกภาคส่วน นำไปสู่ข้อเสนอเชิงปฏิบัติที่ชัดเจน เพื่อให้ประเทศไทยสามารถปรับตัว และใช้โอกาสจากการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
           จากนั้นเป็นการบรรยาย เรื่อง "จากภาษีทรัมป์สู่ภูมิภูมิฐศาสตร์การค้าโลกใหม่ : ทางเลือกและทางรอดของไทยในสงครามการค้าเชิงโครงสร้าง"โดย รองศาสตราจารย์ปีติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการบริหาร มูลนิธิอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตาประเทศอินโดนีเซีย และรองศาสตราจารย์ประจำคณะ โดยระบุในตอนหนึ่งว่า ประเทศไทยได้รับอัตราภาษีจากสหรัฐ 19% หลังการเจรจาเมื่อต้นเดือนสิงหาคม ปัญหาสำคัญ คือ กฎ Rules of Origin ว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า อาทิ สินค้าที่ผลิตในไทยแต่ใช้วัตถุดิบจากจีนจะต้องเสียภาษี 40% เมื่อส่งออกไปสหรัฐฯ ส่งผลกระทบรุนแรงต่อการลงทุนจากญี่ปุ่น เกาหลี และยุโรป ที่ใช้ไทยเป็นฐานการผลิต
          ขณะเดียวกัน ไทยอยู่ในตำแหน่งยุทธศาสตร์สำคัญ เป็นจุดศูนย์กลางระหว่างอ่าวเบงกอลและทะเลจีนใต้ มีโครงสร้างพื้นฐานสำคัญอย่างสนามบินอู่ตะเภา ท่าเรือแหลมฉบัง และ EEC ที่ทำให้เป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างอินเดียและจีน ซึ่งขณะนี้โลกกำลังเปลี่ยนจากระบบ Global Value Chain เดียวมาเป็นการแบ่ง 3 กลุ่ม คือ กลุ่มสหรัฐฯ กลุ่มจีน และกลุ่มกลาง (ห่วงโซ่มูลค่าระดับโลก) โดยห่วงโซ่อุปทานของสองมหาอำนาจจะไม่ทับซ้อนกัน ทำให้ไทยต้องเลือกว่าจะอยู่ในห่วงโซ่ใด หรือจะเป็นสะพานเชื่อม ซึ่งความท้าทายหลักของไทยคือการเลือกขั้วระหว่างสหรัฐและจีน การปรับห่วงโซ่อุปทาน และการเปลี่ยนจากการแข่งขันด้านต้นทุนสู่เทคโนโลยี โอกาสที่เกิดขึ้น คือ การเป็นสะพานเชื่อมเพื่อดึงดูดการลงทุนให้ย้ายฐานกลับประเทศ (Reshoring) และการพัฒนาเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์
          ทั้งนี้ สิงคโปร์ ถือเป็นประเทศตัวอย่างการปรับตัวที่ดี. โดยประกาศจุดยืนชัดเจน ด้วยการแต่งตั้งรัฐมนตรีใหม่ และสื่อสารกับประชาชนว่าโลก เมื่อเปลี่ยนแปลงแล้วไม่สามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ ไทยจึงจำเป็นต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว วางแผนระยะยาว และสร้างความสมดุลระหว่างมหาอำนาจ โดยใช้ประโยชน์จากตำแหน่งภูมิศาสตร์และโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่
          นอกจากนี้ ยังมีการสัมมนาเรื่อง “จากโต๊ะเจรจาสู่ภาคปฏิบัติ: ถอดบทเรียนภาษีทรัมป์” From Negotiation to Action: Lessons from the Trump Tariff Talks” โดยนายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย และกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงไทย ดำเนินรายการโดย นายชิบ จิตนิยม สมาชิกวุฒิสภา


อรุณี ตันศักดิ์ดา ข่าว/เรียบเรียง

ประมวลผลภาพ

วิดีโอ