3 ส.ค.68-กมธ.สาธารณสุข วุฒิสภา ถกปัญหาสาธารณสุขยั่งยืน สปสช. ชี้แจงแนวทางจัดสรรงบประมาณ เพิ่มความโปร่งใสในการจัดซื้อยาและบริหารจัดการกองทุน หลังปี 69 ได้รับงบเพิ่มกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท พร้อมหาแนวทางส่งเสริมสุขภาพประชาชนเพื่อลดค่ารักษาพยาบาลในระยะยาว

image

        นายแพทย์ประพนธ์  ตั้งศรีเกียรติกุล ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การสาธารณสุข วุฒิสภา เป็นประธานการประชุม โดยมีวาระพิจารณาข้อเสนอปัญหาและแนวทางการจัดการระบบสาธารณสุข เพื่อให้ระบบหลักประกันสุขภาพของประเทศไทยมีความยั่งยืน โดยได้เชิญนายแพทย์จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) มาให้ข้อมูลถึงการบริหารจัดการงบประมาณและต้นทุนบริการของ สปสช. พบว่า คณะกรรมการ สปสช.ได้เสนอขอรับจัดสรรงบประมาณเพิ่มขึ้นต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) และในปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 โดยกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้รับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มขึ้นจำนวนกว่า 25,552 ล้านบาท ทั้งนี้ คณะกรรมการ สปสช.ได้ศึกษาต้นทุนและอัตราการจ่ายที่เหมาะสมให้โรงพยาบาล เพื่อนำมาใช้เป็นแนวทางในการชดเชยค่าบริการสาธารณสุขของหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อลดปัญหาโรงพยาบาลขาดทุน ซึ่งในระหว่างปีงบประมาณ หากเงินที่กำหนดในรายการใดไม่เพียงพอ เนื่องจากผลงานการบริการมากกว่าเป้าหมายที่ได้รับงบประมาณ สามารถของบประมาณทดแทนในปีถัดไป หรือเสนอของบประมาณเพิ่มเติมได้ตามความเหมาะสม

        ส่วนแนวทางการแก้ไขความไม่โปร่งใสในการจัดซื้อยาและบริหารจัดการกองทุนนั้น สปสช.ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการชุดต่างๆ ขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาความไม่โปร่งใส โดยคณะอนุกรรมการแต่ละชุดให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยมีการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นและเปิดรับฟังความคิดเห็นผ่านระบบกลางทางกฎหมาย สำหรับนโยบาย 7 หน่วยนวัตกรรม ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่ามีผลต่อการลดจำนวนการเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลนั้น แต่ผลการศึกษาโครงการประเมินผลนโยบาย “บัตรประชาชนใบเดียวรักษาได้ทุกที่” พบว่านโยบายดังกล่าวไม่ได้ทำให้เกิดความแออัดเพิ่มขึ้นในโรงพยาบาลขนาดใหญ่แต่อย่างใด ขณะที่การปรับปรุงค่าชดเชยและระบบการเบิกจ่าย โดยคณะกรรมการ สปสช. ได้ศึกษาต้นทุนและอัตราจ่ายที่เหมาะสมสำหรับโรงพยาบาล เพื่อใช้เป็นแนวทางในการชดเชยค่าบริการสาธารณสุขให้แก่หน่วยงานที่ดูแลสวัสดิการด้านการรักษาพยาบาลภาครัฐ เมื่อได้ต้นทุนที่เหมาะสมแล้วจะเสนอต่อคณะกรรมการฯ เพื่อพิจารณาและปรับปรุงการขอรับการจัดสรรงบประมาณต่อไป

        นายแพทย์ประพนธ์ กล่าวด้วยว่า ที่ประชุม กมธ. มีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะถึง สปสช. ว่า ควรมีการประชาสัมพันธ์ผลการดำเนินงานของ สปสช. ถึงบทบาทและความร่วมมือของหน่วยบริการในฐานะผู้ให้บริการด้วย รวมทั้งควรสื่อสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับประกาศ สปสช. ฉบับเดือนกรกฎาคม 2568 ที่กำหนดให้แพทย์ผู้รับผิดชอบต้องบันทึกข้อมูลตามข้อเท็จจริงของการให้บริการ นอกจากนี้ สปสช.ควรแก้ไขค่าบริการผู้ป่วยใน โดยเฉพาะในกรณีที่โรงพยาบาลขนาดเล็กได้รับค่าบริการผู้ป่วยใน สูงกว่าโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับต้นทุนการให้บริการจริง ส่วนกรณีการจัดสรรงบประมาณประจำปี 2569 ให้กับ 7 หน่วยนวัตกรรมเพิ่มมากขึ้นนั้น สปสช. ควรชี้แจงว่ามีวัตถุประสงค์และหลักเกณฑ์การจัดสรรหน่วยนวัตกรรมด้วย ทั้งนี้ สปสช. ยังขาดงบประมาณและกลไกที่เพียงพอสำหรับส่งเสริมให้ประชาชนเข้ารับบริการในหน่วยบริการระดับปฐมภูมิ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการลดปัญหาความแออัดในโรงพยาบาล ดังนั้น ควรมีการทบทวนพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ด้านสุขภาพในปัจจุบันด้วย

 

ณัฐพล  สงวนทรัพย์  ข่าว/เรียบเรียง

สำนักประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา  ข้อมูล/ภาพ

ประมวลผลภาพ

วิดีโอ