3 ส.ค.68- กมธ.การพาณิชย์ฯ วุฒิสภา เข้าพบแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับ รมต.ประจำสำนักงานนายกรัฐมนตรี ประเด็นการแยกทรัพย์สินวัดกับทรัพย์สินพระสงฆ์อย่างเป็นระบบ หลังพบตัวเลขวัด 5 พันแห่งไม่มีบัญชีวัด แนะรวมศูนย์เงินบริจาค บริหารจัดการอย่างเป็นระบบ ส่งเสริมให้วัดเป็นต้นแบบเศรษฐกิจพอเพียง หรือวัดเพื่อเศรษฐกิจชุมชนภายใต้การบริหารที่โปร่งใสและตรวจสอบได้

image

   นายเอกชัย  เรืองรัตน์ รองประธานกรรมาธิการ (กมธ.) การพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 30 ก.ค. ที่ผ่านมา ได้นำคณะกรรมาธิการเข้าพบแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับ นายสุชาติ ตันเจริญ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ที่ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล เกี่ยวกับการแยกทรัพย์สินวัดกับทรัพย์สินพระสงฆ์อย่างเป็นระบบ เพราะต้องการให้มีการจัดระเบียบทรัพย์สินของวัดและพระให้แยกจากกัน เป็นการส่งเสริมให้วัดเป็นต้นแบบเศรษฐกิจพอเพียง หรือวัดเพื่อเศรษฐกิจชุมชนภายใต้การบริหารที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ การเข้าพบและหารือกับรัฐมนตรีครั้งนี้ ได้นำผลการศึกษาของ TDRI ไปพูดคุย เพราะมีตัวเลขที่ชี้ให้เห็นปัญหาบัญชีวัด วัดมีบัญชีเงินฝากรวม 410,000 ล้านบาท จากวัด 44,000 แห่งทั่วประเทศ แต่มีเพียง 39,000 บัญชีวัดเท่านั้นที่อยู่ในระบบ หมายความว่ามีประมาณ 5,000 วัดที่ไม่มีบัญชี นอกจากนี้ วัดที่มีข่าวพัวพันกับปัญหามักพบว่ามีบัญชีเป็นหลักสิบบัญชี ทำให้เกิดข้อสงสัยว่ามีหลายวัดที่ไม่มีบัญชีเป็นของวัด แต่เป็นบัญชีของพระสงฆ์ จากข้อมูลนี้สามารถประมาณการว่าเงินในระบบที่ฝากในบัญชีวัดและบัญชีพระสงฆ์รวมกันเกิน 1 ล้านล้านบาท ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แจ้งว่าไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับบัญชีของวัดและบัญชีส่วนบุคคลที่ชื่อขึ้นต้นด้วยคำว่าพระ
     นายเอกชัย กล่าวต่อไปว่า สาเหตุหลัก ๆ ของปัญหา เช่น 1.ศาสนาเสียหายจาก "2 ส" คือ สตรีและสตางค์ การแก้ปัญหาที่สตางค์จะช่วยให้พระจับเงินน้อยลงและมีการบริหารอย่างโปร่งใสเป็นระบบ ซึ่งจะทำให้ระบบน่าเชื่อถือขึ้น 2. เป็นเรื่องการใช้เงินบริจาคผิดวัตถุประสงค์ เช่น เพื่อการพนันหรือสตรี ซึ่งตามประมวลรัษฎากร  ถือว่าไม่ใช่การบริจาคเพื่อกิจกุศล และเงินนั้นจะถือเป็นรายได้ส่วนบุคคลที่ต้องเสียภาษี โดยเฉพาะกรณีพระสงฆ์ที่ได้รับเงินบริจาคแล้วนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ 3.ความมั่งคั่งของวัดและพระสงฆ์เป็นต้นเหตุของปัญหาที่ทำให้ศาสนาเสื่อมเสีย ทั้งเรื่องสีกาและกลุ่มมิจฉาชีพ 4.ปัญหาการซื้อตำแหน่งสมณศักดิ์ ถือเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่สร้างวงจรการเงินที่ไม่ถูกต้องในระบบของพระสงฆ์ 5.วัดหลายแห่งมีทรัพย์สินมหาศาล เช่น ที่ดินแพง ๆ ในเมืองใหญ่ แต่รายได้อาจไม่มีการตรวจสอบหรือบริหารอย่างโปร่งใส 6.พระสงฆ์ที่มีประวัติไม่ดีและอาชญากรรม มีชาวบ้านร้องเรียนจำนวนมากว่า มีผู้มีคดีติดตัวไปบวช หรือบางรูปถูกระบุว่าเป็นอาชญากรที่หนีคดีมาบวช 7.ปัญหาด้านสุขภาพของพระสงฆ์ มีรายงานว่าพระสงฆ์บางรูปมีโรคร้ายแรง 8. การขาดการตรวจสอบประวัติที่เข้มงวด และ 9.การใช้สมาร์ทโฟนของพระสงฆ์ซึ่งนำไปสู่การบริโภคสื่อโลกภายนอกมากเกินไป รวมถึงการใช้รูปปกติ ไม่ใช้รูปที่บวชพระ พูดคุยหยอกล้อในลักษณะที่ไม่เหมาะสม
    นายเอกชัย กล่าวว่าได้เสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ด้วยการกำหนดรวมศูนย์เงินบริจาค โดยเสนอให้นำเงินฝากของวัดและของพระที่รวมกันกว่า 1 ล้านล้านบาท เข้าสู่ระบบธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ เช่น ธนาคารออมสิน ธนาคาเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารกรุงไทย SME Bank EXIM Bank โดยใช้แอปพลิเคชันที่มีอยู่แล้ว เช่น เป๋าตังทางรัฐ ไทยไอดี  รวมทั้งเสนอให้มีการพัฒนาแอปพลิเคชันธนาคารพระพุทธศาสนา ซึ่งไม่ใช่การตั้งธนาคารใหม่ แต่เป็นการเปิดหน่วยย่อยภายใต้ธนาคารของรัฐที่มีศักยภาพ เช่น ธนาคารออมสิน เพื่อบริหารจัดการเงินนี้ และอีกประเด็นเป็นเรื่องวัตถุประสงค์การใช้เงิน โดยอาจนำเงินที่รวบรวมได้ไปหมุนเวียนปล่อยกู้ในระบบเศรษฐกิจ โดยให้เอกชนรายเล็ก (SMEs) กู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ เพื่อช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและให้ศาสนาได้ช่วยเหลือสังคม การเสนอให้การควบคุมบัญชี เช่น 1 วัด : 1 บัญชี หรือ 1 รูป : 1 บัญชี ให้บัญชีวัดมีการอนุมัติการใช้จ่ายจากหลายฝ่าย เช่น พระ 2 รูป และไวยาวัจกรวัด หรือผู้บริหารเงินของวัด และเสนอเรื่องการตรวจสอบประวัติและสุขภาพก่อนบวช  นอกจากนี้ คณะกรรมาธิการการพาณิชย์ฯ จะรวบรวมความเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าว เสนอต่อคณะกรรมาธิการการศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ศิลปะและวัฒนธรรม วุฒิสภา เพื่อพิจารณาตามอำนาจหน้าที่ต่อไปด้วย

ณรารัฏฐ์  โพธินาม / ข่าว เรียบเรียง
 

ประมวลผลภาพ

วิดีโอ