นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง รับการยื่นญัตติด่วน เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาดำเนินการยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding : MOU) ฉบับที่ 43 และ 44 ระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา จากคณะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(สส.) นำโดยนายสฤษฏ์พงษ์ เกี่ยวข้อง สส.จังหวัดกระบี่ พรรคภูมิใจไทย นายชัยมงคล ไชยรบ สส.จังหวัดสกลนคร พรรคพลังประชารัฐ
นายสฤษฏิ์พงษ์ กล่าวว่า ตนและเพื่อน สส.หลากหลายพรรคการเมือง ภายใต้กลุ่มรักชาติปกป้องแผ่นดิน ร่วมกันลงรายชื่อเพื่อยื่นญัตติด่วน ให้สภาฯ พิจารณายกเลิก MOU ทั้งสองฉบับที่มีผลกระทบต่ออธิปไตยไทย ซึ่ง MOU ฉบับที่ 43 ว่าด้วยแนวเขตทางบก และฉบับที่ 44 ว่าด้วยเขตทางทะเล ประเทศไทยได้ทำร่วมกับกัมพูชา โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับเขตแดนพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ทรัพยากรธรรมชาติ รวมถึงการอนุญาตให้มีการสำรวจแสวงหาประโยชน์ในพื้นที่เขตทับซ้อนทางทะเลระหว่าง 2 ประเทศ ซึ่งบันทึกความเข้าใจดังกล่าวกลายเป็นข้อถกเถียงทางสังคมและการเมืองในประเทศไทยมาโดยตลอด เนื่องจากส่งผลกระทบต่ออธิปไตยและผลประโยชน์ของประเทศไทย อีกทั้งยังมีข้อสังเกตสำคัญว่าบันทึกความเข้าใจบางฉบับไม่ได้ผ่านการให้ความเห็นชอบจากรัฐสภาตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 มาตรา 178 บัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่าสนธิสัญญาหรือข้อตกลงระหว่างประเทศที่มีผลกระทบต่ออธิปไตยของรัฐ การเปลี่ยนแปลงเขตแดนหรือมีผลผูกพันด้านงบประมาณของรัฐต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อนการลงนาม ดังนั้นการดำเนินการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดพื้นที่ทับซ้อนหรือการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรในพื้นที่ที่ยังไม่ได้ตกลงอย่างชัดเจน ย่อมเข้าข่ายต้องผ่านการพิจารณาของรัฐสภา จึงอาจถือได้ว่า MOU ฉบับที่ 43 และ 44 ที่ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาอาจไม่เห็นชอบด้วยบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ
นายสฤษฏิ์พงษ์ ชี้ว่าการคงอยู่ของ MOU ทั้งสองฉบับ อาจก่อให้เกิดการตีความในทางที่เสียเปรียบแก่ประเทศไทย ทั้งแง่ของการยอมรับพื้นที่ทับซ้อนอย่างถาวร การเปิดให้ต่างชาติแสวงหาผลประโยชน์ร่วมในทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานและทรัพยากรสำคัญ ดังนั้นการคงไว้ซึ่งข้อตกลงที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายอาจนำไปสู่การสูญเสียโอกาสการปกป้องอธิปไตยและทรัพยากรอย่างเต็มรูปแบบ อีกทั้งอาจกลายเป็นช่องทางที่อีกฝ่ายใช้เป็นหลักฐานสนับสนุนข้อเรียกร้องต่อองค์กรระหว่างประเทศในอนาคต เช่น ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice : ICJ) หรือคณะกรรมาธิการเขตแดนทะเล ทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบด้านเอกสารและข้อเท็จจริง ทั้งนี้ การยกเลิกข้อตกลงทั้งสองฉบับอย่างเป็นทางการ ไม่เพียงแต่จะช่วยลดความเสี่ยงในอนาคต แต่ยังแสดงให้เห็นถึงจุดยืนของประเทศไทยในการปกป้องอธิปไตย การยึดมั่นรัฐธรรมนูญและความชอบธรรมในเวทีระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ในปี 2552 MOU 44 เคยถูกยกเลิกโดยมติคณะรัฐมนตรี ด้วยเหตุผลว่าประเทศไทยไม่สามารถดำเนินการตามข้อตกลงได้เนื่องจากมีผลกระทบต่ออธิปไตยของชาติและไม่ผ่านรัฐสภา ซึ่งยังมีความคลุมเครือในทางปฏิบัติว่าการยกเลิกดังกล่าวมีผลสิ้นสุดในทางกฎหมายหรือไม่ หรือมีการกลับมาใช้ใหม่ภายหลังในบางส่วนโดยไม่ได้ประกาศเป็นทางการ จึงเสนอญัตติดังกล่าวตามข้อบังคับการประชุมสภา เพื่อให้สภาพิจารณายกเลิกและส่งผลการพิจารณาให้รัฐบาลดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้คาดว่าสัปดาห์หน้าจะมีการ พิจารณาญัตติด่วนดังกล่าวในที่ประชุมสภาฯ
ด้านนายชัยมงคล กล่าวแสดงจุดยืนขอให้รัฐบาลดำเนินการยกเลิก MOU 43 และ 44 ซึ่งเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของประเทศชาติ ย้ำว่า ตนและกลุ่ม สส. จะไม่ยอมเสียอธิปไตยทั้งทางบก ทางทะเลแม้แต่ตารางนิ้วเดียว ซึ่งการยื่นญัตตินี้ ไม่มีแบ่งพรรค มีเพียงแต่คนไทยที่รักชาติ รักแผ่นดิน
อรพรรณ ขันทองคำ ข่าว/เรียบเรียง