นายพูนศักดิ์ จันทร์จำปี ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร พร้อมคณะ แถลงผลการพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาการอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในป่าสงวนแห่งชาติในพื้นที่อำเภอแก่งหางแมว เพื่อดำเนินโครงการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล (คทช.) เนื่องจากเห็นถึงปัญหาการดำเนินการ คทช. ซึ่งอยู่ในภาวะชะงักชะงัน จากสาเหตุที่สำคัญในหลายประการ ได้แก่ ข้อมูลประชาชนที่อาศัยและทำกินภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติไม่เป็นปัจจุบัน ตามเป้าหมายการดำเนินโครงการ คทช. ใน 4 ตำบลของอำเภอแก่งหางแมว มีเนื้อที่ 226,298 ไร่ จำนวน 11,582 ราย 15,816 แปลงนั้น เป็นฐานข้อมูลที่มาจากการสำรวจการถือครองที่ดินตามมติคณะรัฐมนตรี 30 มิถุนายน 2541 จึงเป็นข้อมูลที่เก่า ไม่เป็นปัจจุบัน จากการเปลี่ยนแปลงข้อมูลการถือครองที่ดินที่เกิดขึ้น ซึ่งมีตัวเลขที่คนในพื้นที่ระบุว่า อาจมีการเปลี่ยนมือไปแล้วถึงร้อยละ 70 และการไม่ยอมรับจากประชาชนในพื้นที่ และองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น 3 แห่ง มีมติไม่เห็นชอบกับการดำเนินโครงการ คทช. ซึ่งส่วนหนึ่งจากเหตุผลในประการแรกที่ไม่มีความชัดเจน เนื่องจากยังไม่มีการตรวจสอบรูปแปลงแผนที่ และบัญชีรายชื่อของผู้ครอบครองใช้ประโยชน์ที่ดินให้เป็นปัจจุบัน ตลอดจนหลักเกณฑ์ คุณสมบัติของผู้จะได้รับสิทธิ คทช. ที่ทำให้คนแก่งหางแมวส่วนใหญ่ไม่ผ่านคุณสมบัติเพื่อขอรับการจัดที่ดินในโครงการ คทช. อาทิ มีเนื้อที่ถือครองเกินกว่า 20 ไร่ มีการเปลี่ยนมือการถือครองที่ดิน และมีรายได้เกินหลักเกณฑ์ 30,000 บาทต่อคนต่อปี เนื่องจากการขยายตัวของสวนทุเรียนซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจทำรายได้เฉลี่ยสูงกว่าเกณฑ์ดังกล่าว
นอกจากนี้ การไม่สามารถตัดโค่นต้นยางพาราเพื่อปลูกใหม่ หรือเปลี่ยนไปปลูกอย่างอื่น ไม่สามารถทำได้ หากยังไม่ได้เข้าสู่ขั้นตอนการจัดที่ดินรายแปลง หากประชาชนไม่ยอมรับในการเข้าสู่กระบวนการจัดที่ดินรายแปลงดังกล่าว ก็ไม่สามารถกระทำได้ และจะเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายป่าสงวนแห่งชาติ และกฎหมายป่าไม้ 2484 แม้ว่าจะมีช่องทางกฎหมายป่าไม้ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดขอทำไม้ (ยางพารา) แต่ไม่สามารถใช้ช่องทางนี้ได้ เพราะผู้ว่าฯ ไม่ได้เป็นผู้ปลูกไม้ยางพาราดังกล่าว และการไม่สามารถพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อใช้กับสวนทุเรียน เป็นอีกประเด็นเดือดร้อนของเกษตรกรชาวสวนในพื้นที่อำเภอแก่งหางแมวที่ผ่านมา ซึ่งในประเด็นนี้ ผู้แทนจากกรมป่าไม้ เสนอแนวทางแก้ไขปัญหา โดยให้ผู้ว่าฯ เป็นผู้ขออนุญาตดำเนินการแทนได้ เนื่องจากอยู่ในพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตให้จังหวัดเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ (ป่าขุนซ่อง) เพื่อดำเนินโครงการ คทช. แล้ว อย่างไรก็ดี ยังไม่ชัดเจนในการนำไปสู่การปฏิบัติว่าจะดำเนินการอย่างไร ประเด็นปัญหานี้จะมีการนำเข้าหารือของ คทช. จังหวัดหรือไม่ อย่างไร รวมทั้งการไม่เข้าร่วมโครงการ คทช. ของประชาชนจะเป็นไปได้หรือไม่ หากไม่ยอมรับการจัดที่ดินตามโครงการ คทช. จะถูกจับกุมดำเนินคดีหรือไม่ เพราะถือเป็นผู้บุกรุกป่าสงวนหรืออยู่อย่างผิดกฎหมาย แต่หากยอมรับหวั่นวิตกว่าจะมีผลกระทบต่อการถือครองและใช้ประโยชน์ที่ดินในปัจจุบันว่า อาจทำให้ที่ดินเคยถือครองใช้ประโยชน์จะลดลงจากปัจจุบัน
ทั้งนี้ ทาง กมธ.จะเร่งเข้าพบหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เพื่อหารือและผลักดันให้มีการกำหนดนโยบายแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนและชัดเจน เนื่องจากประชาชนได้รับผลกระทบมาเป็นเวลานาน รวมถึงจะประสานงานกับรองนายกรัฐมนตรี ผู้ดูแลสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาในเชิงนโยบายอย่างเป็นรูปธรรม
อรุณี ตันศักดิ์ดา ข่าว/เรียบเรียง
