31 ก.ค. 68 – สส.พรรคภูมิใจไทยตั้งกระทู้สดถามรัฐบาลถึงมาตรการเยียวยาจากเหตุสู้รบชายแดนไทย-กัมพูชา ล่าช้า ไม่ชัดเจน ด้าน รมช.มหาดไทยยืนยันรัฐบาลดูแลเต็มที่ ชี้อนุมัติเงินทดรองราชการ 100ล้านบาท และดำเนินการได้ทันที มอบอำนาจผู้ว่าฯ ใช้เยียวยาผู้สูญเสีย-ผู้ได้รับผลกระทบ

image

            การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุม ได้พิจารณาวาระกระทู้ถามสดด้วยวาจาของ นายธนา กิจไพบูลย์ชัย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(สส.) จังหวัดศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย เกี่ยวกับการดำเนินการของรัฐบาลต่อสถานการณ์สู้รบชายแดนไทย-กัมพูชา ถามไปยังรักษาการนายกรัฐมนตรี ซึ่งรักษาการนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้แทน แต่เนื่องด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยติดภารกิจ จึงมอบหมายให้ นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ตอบกระทู้แทน

            นายธนา กล่าวว่า ตนขอเป็นตัวแทนประชาชนชายแดน เชิดชูเกียรติทหารชายแดนที่คอยปกป้องอธิปไตยไทย และขอสดุดีเชิดชูเกียรติบุคคลที่อยู่แนวหลังทุกฝ่ายที่ดูแลประชาชนให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับความเดือดร้อนจากสภานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ที่เกิดขึ้นตนฝากคำถามไปยังรัฐบาลว่าหน้าที่ของรัฐบาลในเรื่องนี้คืออะไร  จากการที่ตนได้ประสานหน่วยงานต่างๆ ทำให้ทราบว่า 7 วันที่ผ่านมา(24 ก.ค.-30 ก.ค. 68) ยังไม่มีงบประมาณจากรัฐบาลลงพื้นที่สู่ประชาชนชายแดน ขณะนี้การช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบอาศัยเงินบริจาคเป็นหลัก ประชาชนหวาดวิตกไม่สามารถนอนหลับอย่างสบายใจได้ ขณะที่การอำนวยความสะดวกเบื้องต้นเกี่ยวกับสาธารณูปโภค ไม่ได้รับการบริหารจัดการจากรัฐบาล แต่มาจากจิตอาสา จึงเกิดการตั้งคำถามว่ารัฐบาลมีงบประมาณอยู่ในมือในส่วนของงบกลาง ซึ่งเบิกจ่ายได้อย่างรวดเร็ว แต่เหตุใดจึงไม่นำมาช่วยเหลือประชาชน จึงต้องการทราบว่า จากเหตุการณ์สู้รบชายแดนไทย-กัมพูชา รัฐบาลจะมีมาตรการในการเยียวยาอย่างไร ทั้งการขาดรายได้ของประชาชน ผู้ประกอบการ บ้านเรือนประชาชนที่ได้รับความเสียหาย รัฐบาลมีมาตรการในการเสริมขวัญกำลังใจให้ทหารที่อยู่แนวหน้า และบุคคลที่อยู่แนวหลังอย่างไร ตลอดจนมีมาตรการในการเยียวยาจิตใจประชาชนในพื้นที่อย่างไร พร้อมตั้งคำถามถึงการสื่อสารของรัฐบาล เหตุใดจึงไม่มีการแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่ผ่านระบบการแจ้งเตือนภัยฉุกเฉิน หรือ Cell Broadcast

            ด้านนางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ชี้แจงว่า ตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ภายหลังเกิดเหตุขึ้น รัฐบาลได้รับรายงานว่ามีการยิงปืนใหญ่และมีการใช้อาวุธหนักจากกัมพูชาเข้าใส่ฝั่งไทย ทำให้พลเรือน ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต นอกจากนี้ยังมีการยิงบ้านเรือนประชาชน ทำให้เสียชีวิต บางรายทุพพลภาพ และยังมีการยิงโรงพยาบาล ย้ำว่าตั้งแต่เกิดเหตุ รัฐบาลได้มีการเตรียมการอย่างเต็มที่ แต่ยอมรับว่าอาจจะมีความบกพร่องในเรื่องของศูนย์อพยพที่อาจจะไม่ครบถ้วน รวมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวก ซึ่งอาจเกิดจากการที่เจ้าหน้าที่รัฐไม่เข้าใจระเบียบการเบิกจ่ายงบประมาณ พร้อมย้ำว่าวินาทีนี้ตนไม่อยากให้ใช้อารมณ์ในการพูดคุยในสภา เพราะไม่อาจทำให้การแก้ปัญหาประสบความสำเร็จไปในทิศทางที่ดีได้ แต่ขอให้ สส.ตั้งใจรับฟังและทำความเข้าใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนในเรื่องงบประมาณ จากการที่ได้มีการประกาศพื้นที่จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชาเป็นพื้นที่ประสบสาธารณภัย ทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) สามารถใช้งบประมาณที่มีอยู่ในการจัดเตรียมศูนย์อพยพได้ทันที ทั้งอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยืนยันว่ารัฐบาลดูแลประชาชนในพื้นที่ชายแดนเต็มที่ โดยตนเองและคณะรัฐมนตรีได้ลงพื้นที่ในจังหวัดที่เกิดสถานการณ์ ตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม ที่ผ่านมา จากคำสั่งของรักษาการนายกรัฐมนตรีที่ได้สั่งการให้ลงพื้นที่ดูแลความปลอดภัยประชาชนในจังหวัดต่างๆ ทันที เพื่อให้เห็นสภาพจริงในพื้นที่ อันจะนำไปสู่ความช่วยเหลือรวดเร็วยิ่งขึ้น ทั้งยังมีการลงพื้นที่เยี่ยมเยียนทหารที่ได้รับบาดเจ็บ และตรวจดูความเป็นอยู่ของประชาชนที่ศูนย์อพยพ พร้อมทั้งสั่งการในส่วนที่ขาดตกบกพร่องเพื่อให้ประชาชนได้รับการดูแลที่ดีอย่างเต็มที่  ในส่วนการเยียวยานั้น รัฐบาลได้อนุมัติขยายเงินทดรองราชการให้ 7 จังหวัดชายแดนจังหวัดละ 100 ล้านบาท เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม หลังเกิดเหตุเพียงหนึ่งวัน ซึ่งเป็นกรอบวงเงินที่ผู้ว่าฯ ดำเนินการได้ทันที นอกจากนี้ยังมีการทำความเข้าใจกับกรมบัญชีกลาง เพื่อให้เข้ามาให้ข้อมูลกับทางหน่วยงานในพื้นที่ว่า สิ่งใดที่ทำได้และทำไม่ได้ ป้องกันเกิดปัญหาในการใช้งบประมาณ เพื่อให้ใช้เงินได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วยิ่งขึ้น  ในส่วนผู้สูญเสีย เสียชีวิต บาดเจ็บ ได้สั่งการว่าผู้ว่าราชการจังหวัดให้นำเงินในส่วนนี้ไปมอบให้กับญาติผู้เสียชีวิต หรือผู้ได้รับบาดเจ็บได้ทันที  สำหรับการเพิ่มขวัญกำลังใจแนวหลังในการสนับสนุนภารกิจป้องกันประเทศ อาทิ ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน(ชรบ.) อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน(อปพร.) สามารถใช้จ่ายงบประมาณจากองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นได้(อปท.) ซึ่งตามระเบียบสามารถทำได้ หากมีการใช้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นหรือบุคคลภายนอก สามารถเบิกค่าเบี้ยเลี้ยงให้บุคคลดังกล่าวได้

อรพรรณ ขันทองคำ ข่าว/เรียบเรียง

 

ประมวลผลภาพ

วิดีโอ