8 ม.ค. 68 - สส.กัณวีร์ พรรคเป็นธรรม เชื่อเหตุจ่อยิง อดีต สส.กัมพูชา จนเสียชีวิต เป็นการกดปราบผู้ลี้ภัยข้ามชาติ มองรัฐบาลไทยต้องไม่ตกเป็นเครื่องมือ ย้ำ ประเทศไทยมี พ.ร.บ.อุ้มหาย 

image

           นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม และรองประธานกรรมาธิการ (กมธ.) การกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงกรณีนักเคลื่อนไหวทางการเมืองของประเทศกัมพูชา และเป็นอดีต สส.ฝ่ายค้าน ของกัมพูชา ถูกจ่อยิงจนเสียชีวิตในประเทศไทย ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่กรณีแรก และไม่ใช่กรณีสุดท้าย สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ในเวทีระหว่างประเทศเรียกว่าการกดปราบ หรือการที่มีผู้ลี้ภัยประหัตประหารจากประเทศหนึ่งมายังอีกประเทศหนึ่ง โดยมีการร่วมมือกันทั้งการเปิดทางลับหรือทางปิดก็ตาม แต่รัฐบาลทั้งสองประเทศย่อมมีความรู้เห็นเป็นใจกัน จนเกิดเป็นการกดปราบข้ามชาติ ยกตัวอย่างเช่น กรณีนายเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ นักเคลื่อนไหวทางการเมืองของไทยที่หายตัวไปในกัมพูชา นอกจากนี้เมื่อเดือนที่ผ่านมา มีการส่งผู้ลี้ภัยกัมพูชาที่เป็นอดีตผู้ทำงานกิจกรรมทางการเมืองของฝ่ายค้านกัมพูชา ทั้งหมด 7 คน ซึ่งได้รับการให้ความคุ้มครอง การลงทะเบียนให้เป็นผู้ลี้ภัยในประเทศไทยจากองค์การสหประชาชาติเรียบร้อยแล้ว แต่มีการจับกุมตัวและผลักดันกลับไปยังกัมพูชาทันที โดยไม่ผ่านกระบวนการตรวจคนเข้าเมือง ทั้งนี้สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นว่าขณะนี้มีความหย่อนยานเรื่องการดำเนินคดี กระบวนการยุติธรรม ในประเทศไทย โดยเฉพาะกับการให้ความคุ้มครองระหว่างประเทศ

           ต่อข้อถามว่าเหตุการณ์จ่อยิงที่เกิดขึ้นเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับความร่วมมือระหว่างสองประเทศ ใช่หรือไม่ นายกัณวีร์ ระบุว่า แน่นอน เพราะตนเองทำงานเรื่องนี้มาอย่างยาวนาน เห็นตั้งแต่มีนักกิจกรรมทางการเมืองฝ่ายค้านกัมพูชา ที่ถูกสังหารในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยในอดีตและเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นมาเรื่อย ๆ ดังนั้นมองว่าควรผลักดันเรื่องเกี่ยวกับการกดปราบข้ามชาติ โดยรัฐบาลไทยต้องให้ความสำคัญอย่างจริงจัง ต้องไม่เป็นเครื่องมือให้กับฝ่ายการเมืองของประเทศอื่น ๆ และประเทศเพื่อนบ้าน 

          นายกัณวีร์ กล่าวเพิ่มเติมว่าประเทศไทยมีกฎหมายทั้งกฎหมายระหว่างประเทศ เกี่ยวกับประเพณีปฏิบัติระหว่างประเทศ ที่ประเทศไทยยึดมั่นอยู่แล้ว โดยยึดหลักการไม่ส่งกลับเมือง และกฎหมายในประเทศคือพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ป้องกันและปราบปรามการทำร้ายและการกระทำที่ทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 หรือ พ.ร.บ.อุ้มหาย ที่ระบุชัดเจนใน มาตรา 13 ว่า ห้ามมิให้หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐขับไล่ ส่งกลับ หรือส่งบุคคลเป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปยังอีกรัฐหนึ่ง หากมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าบุคคลนั้นจะไปตกอยู่ในอันตรายที่จะถูกกระทำทรมาน ถูกกระทำการที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือถูกกระทำให้สูญหาย แต่เหตุใดปัจจุบันสถานการณ์ยิ่งเลวร้าย และยิ่งไปกว่านั้นคือการปล่อยให้มีผู้ร้ายมาสังหารคนที่อยู่ในผืนดินไทย และเป็นการสังหารนักกิจกรรมทางการเมืองฝ่ายค้านของรัฐบาลประเทศเพื่อนบ้าน นอกจากนี้ยังมีนักกิจกรรมทางการเมืองที่มาลี้ภัยอยู่ในประเทศไทยซึ่งเป็นชาวเมียนมาด้วย และมีหลายคนถูกผลักดันกลับไปประเทศต้นทางปัจจุบันนี้เป็นที่ทราบกันดีว่าประเทศเมียนมายังมีสถานการณ์ไม่สงบอยู่ในประเทศ การผลักดันคนกลับไปเพื่อถูกกระทำให้สูญหายในประเทศต้นทางยิ่งจะทำให้ประเทศไทยผิดหลักการระหว่างประเทศและผิดต่อกฎหมายภายในประเทศด้วย 

          นายกัณวีร์ ยังขอให้การสืบสวนสอบสวนเหตุการณ์จ่อยิงครั้งนี้ ต้องดำเนินการด้วยความโปร่งใส และขอเรียกร้องเรื่องของการให้ความคุ้มครองระหว่างประเทศ โดยขณะนี้ประเทศไทยยังไม่ได้ลงนามในสัตยาบันเรื่องอนุสัญญาว่าด้วยสถานะผู้ลี้ภัยแต่ประเทศไทยมีกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายภายในประเทศ เพราะฉะนั้นต้องการให้นายกรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญเรื่องนี้ในการไม่ผลักดันผู้ลี้ภัยให้กลับประเทศต้นทาง ซึ่งเหตุการณ์ลักษณะนี้เงียบมานานแล้ว ต่อไปจะต้องไม่เงียบหายไปอีก ขณะเดียวกันกรณีที่คนไทยสูญหายในต่างประเทศ จำเป็นต้องนำเรื่องนี้กลับมาสืบหาข้อเท็จจริงให้ได้ 

 

ณัฐเดช เอียดปุ่ม /ข่าว /เรียบเรียง 

ประมวลผลภาพ

วิดีโอ