6 ต.ค.68- มติที่ประชุมวุฒิสภา รับหลักการร่าง พ.ร.บ. โคนมและผลิตภัณฑ์นมฯ เพิ่มอำนาจ “มิลค์บอร์ด” คุมราคาน้ำนมดิบ หวังปฏิรูปอุตสาหกรรมนมทั้งระบบ ด้าน สว.เศรณี  อนิลบล จี้รัฐเร่งแก้ปัญหานมโรงเรียน พร้อมตรวจสอบการบริหารงาน องค์การส่งเสริมกิจการโคนมฯ หลังประสบปัญหาขาดทุนต่อเนื่อง

image

        ที่ประชุมวุฒิสภา ที่มีนายบุญส่ง  น้อยโสภณ รองประธานวุฒิสภา คนที่สอง ทำหน้าที่ประธานการประชุม โดยมีวาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) โคนมและผลิตภัณฑ์นม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรลงมติเห็นชอบแล้ว สำหรับหลักการและเหตุผลร่าง พ.ร.บ.โคนมและผลิตภัณฑ์นม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เป็นการแก้ไขเพิ่ม พ.ร.บ.โคนมและผลิตภัณฑ์นม พ.ศ. 2551 โดยแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 3 บทนิยามคำว่า “ผลิตภัณฑ์นม” “น้ำนมโค” “เกษตรกรโคนม” และ “ผู้แทนผู้ประกอบการอุตสาหกรรมนม” โดยเพิ่มบทนิยามคำว่า “ผู้แทนเกษตรกรโคนม” และ “ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมนม” และยกเลิกบทนิยามคำว่า “ผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นม” และ “ผู้แทนผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นม” รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 4 องค์ประกอบของคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม หรือ “มิลค์บอร์ด (Milk Board) แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 9 วรรคหนึ่ง เพิ่มจำนวนการประชุมคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมในแต่ละปี และแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 10 อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมให้มีความครอบคลุมการดำเนินการทั้งระบบอุตสาหกรรมนมยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการกำหนดราคาน้ำนมโคและผลิตภัณฑ์นม ทั้งราคาซื้อและราคาจำหน่าย เพื่อแก้ไขปัญหาและอุปสรรคในเรื่องการปรับราคาน้ำนมโคและผลิตภัณฑ์นม

        ส่วนเหตุผลความจำเป็นต้องแก้ไข พ.ร.บ.โคนมและผลิตภัณฑ์นม พ.ศ. 2551 นั้น เนื่องจากกฎหมายดังกล่าวใช้บังคับมาแล้วเป็นเวลา 16 ปี และยังไม่เคยมีการแก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งในทางปฏิบัติยังคงมีปัญหาและอุปสรรคเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการกำหนดราคา เพราะการปรับราคาน้ำนมโคเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรโคมนมนั้น กระทบกับผู้เกี่ยวข้องในระบบอุตสาหกรรมนมทั้งระบบ การที่คณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมมีแต่เพียงอำนาจในการกำหนดราคารับซื้อน้ำนมโคและผลิตภัณฑ์นม แต่ไม่มีอำนาจกำหนดราคาจำหน่ายน้ำนมโคและผลิตภัณฑ์นม ทำให้การปรับราคาน้ำนมโคเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรโคมนม ไม่สามารถดำเนินการได้อย่างทันท่วงที จึงเห็นสมควรแก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบคณะกรรมการ และอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและผู้เกี่ยวข้องในระบบอุตสาหกรรมนมทั้งระบบ รวมถึงบทนิยามที่ยังไม่ชัดเจน จึงจำเป็นต้องตรากฎหมายฉบับนี้

        นายฤชุ  แก้วลาย รองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา กล่าวสรุปผลการศึกษาร่างกฎหมายโคนมฯ ของ กมธ. ว่า ร่างกฎหมายนี้มีเจตนาสำคัญในการเพิ่มอำนาจและปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมให้สามารถบริหารจัดการอุตสาหกรรมนมได้อย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยให้คณะกรรมการฯ ดังกล่าวมีอำนาจกำหนดราคาน้ำนมโคและผลิตภัณฑ์นม ตั้งแต่น้ำนมดิบ ศูนย์รวมนม โรงงานแปรรูป ซึ่งเดิมที่มีอำนาจเพียงการกำหนดราคาซื้อน้ำนมโคจากเกษตรกรเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีอำนาจกำหนดหลักเกณฑ์คุณภาพ วันรับซื้อ และวันหยุดรับซื้อน้ำนมโค และกำหนดเบี้ยปรับหรือบทลงโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืนด้วย ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการฯ จัดทำรายงานการประชุมและรายงานผลการดำเนินงานประจำปี โดยต้องเผยแพร่ต่อสาธารณะภายใน 1 เดือนนับแต่วันที่รับรอง และควรมีการประชุมอย่างน้อยปีละ 4 ครั้ง

        สมาชิกวุฒิสภา (สว.) หลายคนได้อภิปรายสนับสนุนร่างกฎหมายฉบับนี้ โดยนางสาวภิญญาพัชญ์  ศันสนียชีวิน สว. กล่าวว่า ปัจจุบัน จำนวนเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมของไทยลดลงอย่างน่ากังวล โดยในปี 2566 มีเกษตรกรโคนมกว่า 22,000 ราย แต่ในปี 2567 ลดลงเหลือเพียง 16,500 ราย คิดเป็น 26.68% โดยสาเหตุหลัก คือ ต้นทุนการผลิต ได้แก่ อาหารสัตว์ ค่าขนส่ง พลังงาน ที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ราคาซื้อน้ำนมดิบกลับไม่ปรับเพิ่มตามต้นทุนที่แท้จริง ทำให้ฟาร์มขนาดเล็กมีกำไรต่ำและบางส่วนต้องตัดสินใจเลิกอาชีพ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตนจะเห็นด้วยในหลักการ แต่เรื่องการเปิดเผยข้อมูลต้นทุนและราคา ต้องทำอย่างระมัดระวังไม่ให้การเปิดเผยข้อมูลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการในประเทศ โดยเฉพาะข้อมูลเชิงกลยุทธ์ของโรงงานหรือผู้ผลิต ขณะที่มาตรการคุ้มครองหรือสนับสนุนเกษตรกรรายย่อย จากผลกระทบจากการทำข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทยกับนิวซีแลนด์และออสเตรเลีย ยังไม่มีมาตรการเฉพาะ อาจส่งผลให้เกษตรกรรายย่อยจะไม่สามารถแข่งขันกับนมราคาถูกที่นำเข้าจากต่างประเทศได้ ทั้งนี้ ตนมีข้อเสนอแนะให้จัดตั้งกองทุนพัฒนาอุตสาหกรรมโคนม เพื่อสนับสนุนเกษตรกรรายย่อยในการปรับตัว พัฒนาเทคโนโลยี และยกระดับคุณภาพผลผลิต โดยเฉพาะผู้ที่ขาดทุนทรัพย์และความรู้ด้านนวัตกรรม รวมทั้งสนับสนุนการใช้นมสดในพื้นที่ในการดำเนินโครงการนมโรงเรียน เพื่อช่วยกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น ข้อเสนอทั้งหมดนี้ไม่ใช่การปกป้องแบบปิดกั้น แต่คือ “การสร้างภูมิคุ้มกันที่เป็นธรรม” เพื่อให้เกษตรกรไทยสามารถแข่งขันได้อย่างมีศักดิ์ศรีในตลาดเสรี

        นายเศรณี อนิลบล สว. กล่าวอภิปรายสนับสนุนร่างกฎหมายโคนมฯ ว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญในการปฏิรูปและแก้ไขปัญหาเกษตรโคนมที่หมักหมมมานาน โดยเฉพาะโครงการนมโรงเรียน ในเรื่องความเป็นธรรม ซึ่งรัฐบาลควรทบทวนกรอบงบประมาณโครงการนมโรงเรียนเคยตั้งไว้ที่ 15,000 ล้านบาท แต่ใช้ไปเพียง 11,000 ล้านบาท แต่ปริมาณน้ำนมดิบที่เข้าสู่สัดส่วนนมโรงเรียนนั้นน้อยมาก ดังนั้น ตนมีข้อเสนอแนะให้รัฐบาลกำหนดนโยบายให้เด็กและเยาวชนได้บริโภคนม ตลอด 365 วัน จากที่ปัจจุบันเด็กได้รับนมเพียง 200 กว่าวันเท่านั้น ซึ่งจำเป็นต้องใช้งบประมาณเพิ่มอีกประมาณ 4,000 ล้านบาท ซึ่งยังอยู่ในกรอบงบประมาณที่ตั้งไว้ และจะเกิดประโยชน์อย่างยิ่งต่อเกษตรกร ที่สำคัญองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ได้รับสัดส่วนในการทำนมโรงเรียนน้อยเกินไป ตนขอเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งปราบปรามการทุจริตในทุกองค์คาพยพ ที่เกี่ยวข้องกับนมโรงเรียนและองค์กรต่างๆ เช่น อ.ส.ค. ซึ่งประสบปัญหาขาดทุนมาโดยตลอดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และขาดความไม่โปร่งใสในการจัดซื้อกระดาษสำหรับทำกล่องนมและสารปรุงรสเกินกว่ากำลังการผลิตเป็น 100% ตนเชื่อว่า หาก พ.ร.บ. ฉบับใหม่นี้มีผลใช้บังคับจะนำไปสู่การปฏิรูประบบการบริหารงานของ อ.ส.ค.ทั้งหมด เพื่อให้เกษตรกรโคนมของไทยสามารถผลิตนมที่มีคุณภาพให้กับคนไทยได้อย่างยั่งยืน

        นายอามินทร์  มะยูโซ๊ะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวขอบคุณ สว. ทุกคนที่ให้ความสำคัญกับการพิจารณาร่างกฎหมายฉบับนี้ในวาระรับหลักการ ทั้งนี้ ตนจะนำความเห็นของ สว. ที่สะท้อนผ่านที่ประชุมวุฒิสภา ทั้งเรื่องความโปร่งใส่ของ อ.ส.ค. การตลาด การวิจัยและพัฒนาโคนม และผลิตภัณฑ์นม เป็นเรื่องที่ตนจะนำไปดำเนินการต่อไป เรื่องใดที่สามารถแก้ไขในระดับกฎกระทรวงได้ตนจะรีบดำเนินการทันที

        ภายหลัง สว. อภิปรายร่างกฎหมายฉบับนี้อย่างกว้างขวางแล้ว ที่ประชุมวุฒิสภา ลงมติรับหลักการแห่งร่าง พ.ร.บ.โคนมและผลิตภัณฑ์นม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรลงมติเห็นชอบแล้ว ไว้พิจารณา ด้วยคะแนนเสียงเห็นด้วย 161 เสียง ไม่เห็นด้วยไม่มี งดออกเสียง 3 เสียง ไม่ลงคะแนน 1 เสียง พร้อมทั้งและมีมติตั้งคณะ กมธ.วิสามัญเพื่อพิจารณาร่างกฎหมายโคมนมฯ จำนวน 21 คน เพื่อพิจารณาในวาระที่สอง และกำหนดเวลาแปรญัตติ 7 วันทำการ

 

ณัฐพล  สงวนทรัพย์  ข่าว/เรียบเรียง

ประมวลผลภาพ

วิดีโอ