นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวถึงกรณีที่นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ระบุว่าพรรคประชาชนควรขอบคุณที่ยุบพรรค เพราะทำให้เงินบริจาคเพิ่มขึ้น 20-30 ล้านบาท ว่า การยุบพรรคการเมืองในปัจจุบันนี้ ไม่มีสังคมไหนยอมรับ โดยเฉพาะสังคมที่เจริญแล้ว ตนคิดว่าเวลาที่เราไปพูดคุยกับพรรคการเมืองและนักการเมืองในต่างประเทศที่เป็นต้นแบบประชาธิปไตย และอยู่ในระหว่างการพัฒนาประชาธิปไตย เพราะการพัฒนาประชาธิปไตย คือ การพัฒนาบ้านเมืองให้มีความเจริญ ทุกคนล้วนแปลกใจที่การยุบพรรคเกิดขึ้น โดยเฉพาะกับพรรคก้าวไกล
นายรังสิมันต์ ชี้ว่า การยุบพรรคไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นครั้งแรก แต่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ มีพรรคการเมืองจำนวนมากที่ถูกยุบ ไม่มีใครยอมรับและเข้าใจได้ โดยเฉพาะเรื่องที่เป็นประเด็น ซึ่งนำมาสู่การยุบพรรค ทั้งนโยบายหรือการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย ก็ล้วนเป็นสิ่งที่น่าจะสามารถทำได้ ดังนั้น การยุบพรรคแบบนี้ ไม่ใช่สิ่งที่จะยอมรับ เมื่อการยุบพรรคเกิดขึ้นแล้ว ประชาชนที่มีความเห็นใจก็ได้สมัครเข้ามาเป็นสมาชิกพรรคประชาชนจำนวนมาก หลายคนก็บริจาคเงินมา การดำเนินการเช่นนี้ คือ การดำเนินการโดยภาคประชาชน ที่รู้สึกว่าพรรคนี้เป็นพรรคการเมืองที่ประชาชนเป็นเจ้าของ เป็นพรรคการเมืองที่ประชาชนให้การสนับสนุน และอยากจะผลักดันให้พรรคการเมืองนี้ สามารถกลับมาตั้งหลักได้อย่างภาคภูมิ ในฐานะที่เป็นตัวแทนของประชาชนได้โดยเร็วที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อเทียบกับความเสียหายของการยุบพรรคนั้นมากกว่าเยอะ แต่ประชาชนก็ทำในสิ่งที่พอจะทำได้ในการสนับสนุน จึงไม่ใช่เรื่องตลก หรือเรื่องที่จะสามารถนำมาพูดเล่นกันได้ ว่าการยุบพรรคทำให้พรรคประชาชนมีรายได้ 20 ล้านบาท การยุบพรรคก้าวไกล ทำให้นักการเมืองที่มีคุณภาพ ที่ควรจะเป็นอนาคตของประเทศ ต้องถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง การยุบพรรคทำให้ สส.ที่อยู่ในบัญชีรายชื่ออื่น ๆ ไม่มีสิทธิ์อีกต่อไป การยุบพรรคทำให้ต้องหาสมาชิกกันใหม่ การยุบพรรคทำให้ประชาชนจำนวนมากที่เป็นสมาชิกถูกตัด ความเสียหายที่เกิดขึ้น ไม่ใช่แค่ความเสียหายของพรรคก้าวไกล แต่เป็นความเสียหายของประชาชนที่อยากจะเห็นการเมืองที่ต่อสู้กันด้วยนโยบาย ต่อสู้กันทางความคิด การใช้กฎหมายในการยุบพรรคต่าง ๆ เป็นสิ่งที่ควรจะหมดไปได้แล้ว แต่น่าเสียดายที่ยังเป็นอยู่และตนค่อนข้างจะตกใจกับความคิดของนายอุดม เพราะเมื่อได้อ่านดูแล้ว ตนมีความรู้สึกว่า คนที่สั่งให้มีการยุบพรรค ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเลย และออกจะเป็นไปในลักษณะทีเล่นทีจริง ทำให้ตนยิ่งรู้สึกว่า เป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น
ส่วนเรื่องวุฒิภาวะ เข้าใจว่านายอุดมจบนิติศาสตร์ และมีความเข้าใจทางด้านกฎหมาย แต่ปกติคนที่เป็นศาล ควรตัดสินคดีโดยตั้งอยู่บนพื้นฐานที่เป็นกลาง ไม่ใช่เอาตัวเองเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของคดี หากมองด้วยท่าทีเช่นนี้ ก็จะทำให้เกิดคำถามว่าการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญตั้งอยู่บนความเป็นกลางจริงหรือไม่ ตั้งอยู่บนพื้นฐานพยานหลักฐานหรือไม่ ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ทำให้พรรคก้าวไกลได้โอกาสในการต่อสู้คดีอย่างเต็มที่หรือไม่ หรือสุดท้ายการตัดสินคดีนี้ ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นศัตรูกับพรรคก้าวไกล หรือความเชื่อบางอย่าง ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ตนคิดว่ากฎหมายจะมีปัญหามาก และจะทำลายความศรัทธาของประชาชนมากขึ้นไปอีก
ส่วนผลกระทบที่เกิดขึ้นในวันนี้ จะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างไรบ้าง นายรังสิมันต์ กล่าวว่า คงจะเกิดคำถามจากประชาชนจำนวนมากว่า ตกลงแล้วการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญเป็นอย่างไร และคำถามในลักษณะแบบนี้ ก็ทำให้วงการกฎหมายกลัวกันมาก เพราะตัดสินกันไม่จบ เนื่องจากตัดสินแล้วไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นได้ และเชื่อว่าตอนนี้สังคมก็กำลังมีคำถามนี้ ซึ่งจะนำไปสู่ความไม่เชื่อมั่นในทางการเมือง และทำให้การเมืองขาดเสถียรภาพ การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การพัฒนาประเทศให้มีความเติบโต คงแทบเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น คนที่เกี่ยวข้องกับการทำลายเสถียรภาพทางการเมือง ก็ควรเป็นคนที่ต้องรับผิดชอบกับความเสียหายที่เกิดขึ้น
เมื่อถามถึงกรณีที่มีนิสิตนักศึกษาของบางสถาบัน เรียกร้องให้ถอดถอนชื่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางคน ออกจากการเป็นอาจารย์พิเศษ นายรังสิมันต์ มองว่า เรื่องการตัดสินของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวพันกับเรื่องการเมือง ไม่ใช่แค่เรื่องทางกฎหมาย ไม่เหมือนกับศาลอื่น ๆ ต้องยอมรับว่าเรื่องในลักษณะนี้หรือเรื่องจริยธรรม เป็นสิ่งที่มีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ประชาชนจำนวนมากมองว่าพรรคก้าวไกลไม่ควรจะถูกยุบ เพราะการเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มีการแก้ไขมาก่อน และไม่มีอะไรที่เขียนว่าห้ามแก้ ซึ่งเมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ทำให้เกิดคำถามตามมา ยิ่งไปกว่านั้นการตัดสิน 9 ต่อ 0 ทำให้เกิดคำถามเรื่องความโปร่งใส เพราะหากเทียบกับการตัดสินอื่น ๆ ยากมากที่จะหาฉันทามติแบบนี้ คงมีประชาชนส่วนหนึ่งที่รู้สึกว่าอยากจะทำอะไรที่สามารถทำได้ และเป็นภาพสะท้อนจากนิสิตนักศึกษาที่ไปเข้าชื่อถอดถอน
ส่วนกรณีที่ตุลาการระบุว่าพรรคก้าวไกลควรขอบคุณ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า คงขอบคุณไม่ได้ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ควรพูดคุยกันแบบจริงจังดีกว่า การใช้ประโยคแบบเยาะเย้ยถากถาง เป็นการพูดที่ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการเคารพในอำนาจของประชาชนเลย และตนคิดว่าเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายในสังคมต้องให้ความสำคัญ ไม่ว่าคุณจะเป็นองค์กรอะไรก็แล้วแต่ หรือจะมีที่มาอย่างไรตามรัฐธรรมนูญ แต่ตนอยากให้ทุกคนเคารพในอำนาจสูงสุดที่เป็นของประชาชน
ทัดดาว ทองอิ่ม ข่าว / เรียบเรียง
