น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ภายหลังที่นายกรัฐมนตรีแถลงนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตว่า การแถลงครั้งนี้ไม่ได้มีอะไรที่น่าตื่นเต้นเพราะเป็นไปตามที่ตนคาดก่อนหน้านี้ ว่าจะมาจาก 3 แหล่ง ตนอยากฝากไปยังรัฐบาลว่า เมื่อมีการยืนยันว่า ไตรมาส 4 จะไม่เลื่อนแน่นอน ตนอยากจะเห็นแผนงานทั้งหมด ไม่ใช่แค่เรื่องหาแหล่งที่มาให้ครบจำนวน ไม่ว่าจะเป็นออกร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปี จะทำเมื่อไหร่ และทางสภาฯจะอนุมัติหรือไม่อย่างไร และยังมีเรื่องการพัฒนาระบบ ซึ่งมีการยืนยันแล้วว่าไม่ได้เป็นแอปเป๋าตัง แต่มีการทำแอปใหม่โดยให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กับ สำนักงานรัฐบาลดิจิทัล จัดทำนั้น จะเสร็จเมื่อไหร่ เพราะกระบวนการทำระบบจำเป็นต้องมีการทดสอบระบบก่อนที่จะใช้งานได้จริง เพราะหากใช้จริงแล้วเกิดข้อผิดพลาดขึ้นจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชนเช่นเดียวกัน
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า ส่วนรายละเอียดของการใช้จ่ายที่มีการแก้ไขไปในทางที่ดีในการที่ระบุว่าให้ใช้รอบแรกสำหรับร้านค้ารายเล็กเท่านั้น อย่างไรก็ตามร้านค้ารายเล็กรวมถึงร้านสะดวกซื้อด้วยหรือไม่ เพราะกลไกที่ค่อนข้างยุ่งยากในการแลกเป็นเงินสด คือต้องใช้ 2 รอบ แล้วจึงสามารถแลกเป็นเงินสดได้ ซึ่งร้านที่แลกได้ก็แลกได้เฉพาะที่อยู่ในฐานภาษีเท่านั้น อาจจะทำให้ร้านค้ารายเล็กรายย่อยตัวจริงไม่อยากเข้าร่วมโครงการหรือเข้าร่วมโครงการน้อยลงหรือไม่ เพราะแลกมาแล้วก็ยังแลกเป็นเงินสดไม่ได้ ต้องไปใช้จ่ายต่อแต่เงินก็ต้องใช้หมุนรายวัน จะมีความลำบากสำหรับร้านค้ารายเล็ก และหากร้านค้ารายเล็กเข้าร่วมโครงการได้น้อย วัตถุประสงค์ของโครงการจะทำให้เศรษฐกิจที่หมุนเวียนอยู่ในระดับฐานรากได้มากขึ้นก็เป็นเรื่องที่น่ากังวลใจ
เมื่อถามว่า โครงการดิจิทัลวอลเล็ตจะสามารถกระตุ้นจีดีพี และเศรษฐกิจได้จริงหรือไม่ น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า จากที่รัฐบาลได้มีการคาดการณ์เอาไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 1.2-1.8 และคาดการณ์ของปี 68 แบบฐานปกติน่าจะโตประมาณ 3.3 ก็เท่ากับว่าเศรษฐกิจปี 68 หากมีดิจิทัลวอลเล็ต ก็น่าจะโตได้ประมาณ 3.5-4.1 ซี่งเป็นเรื่องที่ต้องอยู่ในความรับผิดชอบของรัฐบาลว่า จะสามารถเป็นไปได้อย่างที่คาดการณ์หรือไม่ เพราะหลายเจ้าจะประเมินอยู่ที่ประมาณ 0.9-1 เปอร์เซ็นต์ทั้งนั้น แต่เรื่องที่เป็นกังวลมากกว่า คือรัฐบาลสัญญาไว้ว่า 4 ปี จีดีพีต้องโตเฉลี่ย 5 เปอร์เซ็นต์ แต่ปีที่อัดทุ่มเงินงบประมาณมากที่สุดยังโตได้แค่ 5.1 อย่างเต็มที่ แล้วปีอื่นๆที่เหลือ ที่ไม่เหลือเงินไปทำอย่างอื่นแล้ว จะเกิดอะไรขึ้น และเรื่องที่ผลจะตามมาคือหนี้สาธารณะ ซึ่งตอนนี้เฉพาะที่ขยายวงเงินของปี68 หนี้สาธารณะขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 67 เปอร์เซ็นต์เรียบร้อยแล้ว และภาระดอกเบี้ยที่จ่ายในแต่ละปีขึ้นเป็น 11 เปอร์เซ็น ของรายได้ เท่ากับว่าจะเก็บภาษีมาเท่าไหร่ก็เอาไปจ่ายเป็นดอกเบี้ยหมดไปแล้ว ยังไม่นับว่าปี67 ก็ต้องกู้เพิ่มอีกจึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่รัฐบาลต้องก้มหน้ารับไป และยิ่งใช้เร็วก็จะยิ่งดี ยิ่งไปกินเงินงบประมาณในส่วนอื่น ๆ ไปอีกระยะหนึ่ง รัฐบาลชุดต่อไปที่จะต้องมาแบกรับภาระหนี้ต่ออยู่แบบคอหอย ใกล้จะชนเพดานที่ 70 เปอร์เซ็นแล้ว ขนาดเป็นกู้สาธารณะเพียงแค่งบ67 และงบ68 ยังไม่นับรวมกู้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ซึ่งไม่ได้อยู่ในหนี้สาธารณะก็จริง แต่สุดท้ายก็ยังต้องใช้เงินงบประมาณในการใช้คืนหนี้อยู่ดี ฉะนั้นนอกเหนือจากการกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็ยังมีเรื่องภาระที่แฝงมาด้วย หลังจากที่ทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ต
ณรารัฏฐ์ โพธินาม / ข่าว เรียบเรียง