นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล โฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา เปิดเผยภายหลังประชุม กมธ.วาระพิจารณาสถานการณ์ทางทหารและความมั่นคงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ในประเด็นการควบคุมการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงและยุทธภัณฑ์ และการสกัดกั้นน้ำมันและยุทธปัจจัยทางทะเลของเรือไทยที่จะเข้าไปในพื้นที่ที่มีความเสี่ยง โดยเชิญตัวแทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 4 หน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงพลังงาน กรมศุลกากร หรือผู้แทน ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) บริษัท ปตท. น้ำมัน และการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) ร่วมให้ข้อมูล
นายไชยยงค์ กล่าวว่า น้ำมันเชื้อเพลิงเป็นปัจจัยสำคัญในการสู้รบของทุกประเทศ แต่จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แม้กัมพูชาจะมีการสู้รบมาหลายเดือน แต่น้ำมันยังไม่ขาดแคลน ทั้งที่กองทัพภาคที่ 2 ได้ออกคำสั่งห้ามส่งออกไปยังกัมพูชาแล้ว ตรวจสอบพบว่ากัมพูชาไม่ได้ซื้อโดยตรงจากไทย แต่ซื้อผ่านลาว โดยลาวทำหน้าที่เป็นทางผ่านแล้วส่งต่อให้กัมพูชาอีกทอดหนึ่ง หากกัมพูชาขาดแคลนน้ำมัน การสู้รบอาจยุติได้เร็วขึ้น โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้แจงว่า หลังมีคำสั่งห้ามส่งออกน้ำมัน ไม่มีการส่งไปยังกัมพูชาโดยตรงแล้ว แต่การส่งออกไปยังลาวได้เปลี่ยนเส้นทาง จากเดิมที่ผ่านด่านช่องเม็กไปแขวงจำปาสักซึ่งสามารถส่งต่อไปเมืองสะตือแกรงของกัมพูชาได้รวดเร็ว เปลี่ยนมาส่งผ่านด่านมุกดาหารแทน เพื่อให้การส่งต่อไปกัมพูชายากขึ้น นอกจากนี้ ยังพบหลักฐานการส่งน้ำมันจากสิงคโปร์ไปยังกัมพูชาเพิ่มมากขึ้น โดยใช้วิธีขนส่งทางเรือไปยังชายฝั่งกัมพูชาโดยตรง โดยไม่ผ่านน่านน้ำไทย ซึ่งปัญหาสำคัญ คือ น้ำมันไม่ใช่สินค้าควบคุม การค้าน้ำมันเป็นการค้าเสรี การจะสั่งให้เป็นสินค้าควบคุมต้องเป็นนโยบายของกองทัพหรือรัฐบาล หน่วยงานระดับล่างไม่สามารถดำเนินการเองได้ ส่วนการประสานกับสิงคโปร์นั้น เนื่องจากไทยกับกัมพูชาไม่ได้ประกาศสงครามอย่างเป็นทางการ จึงอาจใช้การหารือแบบนอกรอบผ่านกระทรวงการต่างประเทศเพื่อสร้างความเข้าใจ
นายไชยยงค์ กล่าวเพิ่มเติมถึงเส้นทางการค้าน้ำมันของไทยไปยังต่างประเทศหรือประเทศที่สามว่า เส้นทางการค้าน้ำมันของไทยมี 3 ช่องทาง คือ 1.การซื้อจากไทยโดยตรงตามกฎหมายผ่านด่านศุลกากร 2.น้ำมันเถื่อนจากสิงคโปร์และมาเลเซีย ซึ่งขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนในอ่าวไทยมีขนาดใหญ่ ส่งไปยังลาวและกัมพูชาโดยใช้น่านน้ำสากล ไม่ผ่านน่านน้ำไทย และ 3.น้ำมันทรานซิสที่ซื้อจากมาเลเซียและขอผ่านไทยโดยไม่เสียภาษีไปยังลาว เมียนมา และกัมพูชา ผ่านด่านศุลกากรอำเภอสะเดา ซึ่งไม่ผิดกฎหมาย แต่จะผิดก็ต่อเมื่อน้ำมันไม่ได้ส่งออกจริงแต่นำมาขายในไทยแทน
สำหรับแนวทางลดปริมาณการส่งออกน้ำมันไปลาว นายไชยยงค์ กล่าวว่า ต้องตรวจสอบสถิติย้อนหลังว่าปัจจุบันเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่ และต้องหาข้อมูลว่ามีน้ำมันส่งไปลาวแล้วส่งต่อไปกัมพูชาหรือไม่ หากมีข้อมูลชัดเจนจะสามารถลดปริมาณการส่งออกได้ โดยเฉพาะที่น่าสังเกตคือ ปีที่แล้วลาวไม่มีเงินซื้อน้ำมัน เกิดภาวะขาดแคลนทั้งประเทศ แต่ปีนี้กลับมีน้ำมันส่งออกไปลาวค่อนข้างมาก ต้องตรวจสอบว่าเศรษฐกิจของลาวเติบโตจริงหรือน้ำมันถูกส่งต่อไปกัมพูชา
ทั้งนี้ กมธ. จะนำข้อมูลที่ได้รับไปวิเคราะห์และจัดทำแนวทางควบคุมการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงและยุทธปัจจัย เพื่อไม่ก่อประโยชน์แก่ฝ่ายกัมพูชาและทำให้การสู้รบยุติได้เร็วขึ้น โดยยังคงอยู่ในกรอบกฎหมายและไม่กระทบความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน
อรุณี ตันศักดิ์ดา ข่าว/เรียบเรียง