คณะกรรมาธิการ(กมธ.)การต่างประเทศ วุฒิสภา นำโดย นางจุฑารัตน์ นิลเปรม รองประธานคณะ กมธ.การต่างประเทศ วุฒิสภา และประธานคณะอนุกรรมาธิการติดตามการดำเนินการตามพันธกรณีระหว่างประเทศ การพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ และความตกลงทางด้านการค้า การเศรษฐกิจระหว่างประเทศ วุฒิสภา นำคณะลงพื้นที่จังหวัดสระบุรี เพื่อศึกษาความก้าวหน้าการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) และติดตามโครงการต้นแบบสระบุรีแซนด์บ็อกซ์ เมืองคาร์บอนต่ำ โดยมีนายบัญชา เชาวรินทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี ให้การต้อนรับ ณ ศาลากลางจังหวัดสระบุรี
ที่ประชุมคณะ กมธ.ได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับโครงการสระบุรีแซนด์บอกซ์ ซึ่งเป็นความร่วมมือของภาครัฐ เอกชน และประชาชน ในการพัฒนาเมืองคาร์บอนต่ำแห่งแรกของไทย โดยมีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามเป้าหมาย NDCs ผ่านการบูรณาการ 5 มิติ ได้แก่ พลังงาน อุตสาหกรรม การจัดการของเสีย เกษตรกรรมคาร์บอนต่ำ การเพิ่มพื้นที่สีเขียว โดยโครงการได้รับการสนับสนุนจากหลายประเทศ อาทิ แคนาดา เยอรมนี และออสเตรเลีย รวมถึงองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ โดยถูกนำเสนอในเวทีระดับโลก เช่น COP28, COP29, Climate Week New York และ TCAC 2025 ในช่วงเดือนมกราคม 2567-สิงหาคม 2568 โครงการสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากหลากหลายภาคส่วน โดยเฉพาะด้านพลังงานและอุตสาหกรรม พร้อมเดินหน้ามาตรการสำคัญ เช่น การใช้พลังงานสะอาด การเพิ่มพื้นที่สีเขียว การจัดการของเสียแบบเศรษฐกิจหมุนเวียน การพัฒนาระบบขนส่งไฟฟ้า และมาตรการลดฝุ่น PM 2.5 นอกจากนี้ โครงการยังสามารถดึงเงินทุนวิจัยและนวัตกรรมด้านคาร์บอนต่ำกว่า 369 ล้านบาท จากแหล่งทุนในและต่างประเทศ เพื่อสนับสนุนงานวิจัย เทคโนโลยีพลังงานสะอาด และการจัดการป่าชุมชน ขณะที่พบปัญหาและข้อจำกัดที่ต้องเร่งแก้ไขในการขับเคลื่อนสระบุรีแซนด์บอกซ์ ยังมีข้อจำกัด 4 ประการ ได้แก่ กฎหมายและกฎระเบียบด้านที่ดินและน้ำ ระบบอนุญาตที่ยังรวมศูนย์ ความจำเป็นต้องได้รับแรงสนับสนุนจากส่วนกลาง และงบประมาณสำหรับขยายผลโครงการ โดยจังหวัดเตรียมขยายผลด้านพลังงานสะอาด เช่น Solar Farm, Solar Rooftop, Solar Floating และระบบ Smart Grid รวมถึงการเพิ่มพื้นที่ป่าชุมชนและพัฒนาระบบขนส่งไฟฟ้า
นอกจากนี้ คณะกรรมาธิการฯ ยังได้ศึกษาดูงาน ป่าชุมชนบ้านถ้ำน้ำพุ อำเภอแก่งคอย ซึ่งเป็นตัวอย่างโดดเด่นของการมีส่วนร่วมของประชาชนในการอนุรักษ์ป่า ซึ่งชุมชนมีระบบดูแลป่าอย่างเป็นแบบแผน ทั้งการกำหนดเขตการใช้ประโยชน์ การลาดตระเวน การฟื้นฟูป่าเสื่อมโทรม และการสร้างระบบนิเวศให้ฟื้นตัวตามธรรมชาติ พื้นที่ดังกล่าวช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียว ลดแรงกดดันต่อป่าต้นน้ำ เสริมความหลากหลายทางชีวภาพ และช่วยดูดซับคาร์บอนในระยะยาว นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมแนวคิดการอาบป่า เพื่อฟื้นฟูสุขภาพกายและใจของประชาชน โดยใช้พลังของธรรมชาติในการลดความเครียดและเสริมสร้างสมดุลทางอารมณ์ การดำเนินงานทั้งหมดถือเป็นโมเดลสำคัญที่สามารถนำไปขยายผลในพื้นที่อื่น เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตควบคู่กับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน
อรพรรณ ขันทองคำ ข่าว/เรียบเรียง
สำนักประชาสัมพันธ์ สนง.เลขาธิการวุฒิสภา ข้อมูล/ภาพ