นายสิทธิพล วิบูลย์ธนากุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน และประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงโครงการคนละครึ่งพลัส ซึ่งวันนี้ (20 ต.ค.68) เปิดลงทะเบียนเป็นวันเแรก ว่า ประชาชนให้ความสนใจต่อโครงการนี้สูงมาก สะท้อนว่าประชาชนในยุคปัจจุบันอยู่ในภาวะข้าวยากหมากแพงและรายได้ถดถอย จึงต้องการการสนับสนุนจากรัฐบาล โดยโครงการนี้มีข้อดีคือสามารถทำได้ทันที เนื่องจากประชาชนคุ้นเคยและมีระบบแอปพลิเคชันเป๋าตัง รองรับอยู่แล้ว นอกจากนี้ รัฐบาลยังรับฟังเสียงสะท้อนจากฝ่ายค้านและนักวิชาการ โดยปรับเงื่อนไขให้ผู้ยื่นแบบภาษีได้รับสิทธิ์มากกว่า ทำให้ผู้เสียภาษีรู้สึกได้รับความพิเศษ อย่างไรก็ตาม แม้โครงการจะทำได้ทันที แต่ประสิทธิผลค่อนข้างจำกัด เนื่องจากเป็นการมุ่งผลระยะสั้น ซึ่งจากงานวิจัยทางเศรษฐศาสตร์ พบว่า โครงการที่ผ่านมาใช้งบประมาณเป็นแสนล้านบาท แต่กระตุ้นเศรษฐกิจได้จำกัด โดยเงิน 1 บาทที่รัฐใช้ไป อาจกระตุ้นได้เพียงประมาณ 30 สตางค์ เท่านั้น สาเหตุหลักคือ โครงการนี้เป็นเพียงการย้ายการใช้จ่ายของประชาชนจากร้านหนึ่งไปอีกร้านหนึ่งที่อยู่ในระบบ ไม่ใช่การสร้างการใช้จ่ายใหม่ จึงไม่ช่วยกระตุ้นการลงทุนใหม่มากนัก ประกอบกับวงเงินที่ใช้เป็นการย้ายมาจากโครงการอื่น ไม่ใช่วงเงินใหม่
ส่วนประเด็นที่น่ากังวลอีกประการหนึ่ง ซึ่ง สส.พรรคประชาชนหลายพื้นที่ ได้รายงานข้อมูลมาว่า มีประชาชนในต่างจังหวัดไปต่อคิวที่ธนาคารตั้งแต่เวลา 05.00 น. เพื่อลงทะเบียน แต่ธนาคารมีสิทธิ์จำกัดเพียง 50 - 100 คิวต่อสาขา ทำให้หลายคนไม่ได้รับสิทธิ์ ซึ่งคนกลุ่มนี้น่าจะเป็นกลุ่มที่ควรได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลเป็นอันดับแรก ทั้งนี้ เพื่อให้โครงการเกิดผลระยะยาว ตนจึงมีข้อเสนอ 2 มาตรการสำคัญ ประการแรก คือ การจูงใจร้านค้าเข้าระบบให้มากขึ้น จากปัจจุบันที่อาจจะมีจำนวนหลักแสนร้าน ควรเพิ่มเป็น 150,000-200,000 ร้าน เพื่อให้หลังโครงการจบ ประชาชนยังมีร้านค้าใหม่ที่รู้จักและใช้บริการต่อเนื่อง และประการที่สอง คือการสร้างความมั่นใจเรื่องภาษี เนื่องจากพ่อค้าแม่ค้ายังกังวลว่าถ้ามียอดขายเพิ่มขึ้นจะมีปัญหาภาษีย้อนหลัง หรือไม่ แม้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะยืนยันแล้วว่าจะไม่มีปัญหา แต่รัฐบาลต้องทำให้เป็นรูปธรรมและสร้างความเชื่อมั่นจริงจัง พร้อมเน้นย้ำว่า โครงการคนละครึ่งพลัสเป็นเพียงการช่วยเหลือระยะสั้น แต่ปัญหาเศรษฐกิจไทยมีความรุนแรง โดยรัฐบาลเองรับทราบว่าไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ เศรษฐกิจอาจเติบโตเพียงร้อยละ 0.3 ซึ่งต่ำมาก และคาดว่าครึ่งปีแรกของปี 2569 อาจเติบโตรวมกันได้ประมาณร้อยละ 1 เท่านั้น ภายใต้งบประมาณที่จำกัดและถูกใช้ไปกับมาตรการระยะสั้นแล้ว รัฐบาลจำเป็นต้องเตรียมมาตรการต่างๆ เพื่อรับมือกับสัญญาณเศรษฐกิจที่อันตรายข้างหน้า ไม่เช่นนั้นจะเป็นความยากลำบากของเศรษฐกิจไทยอย่างมาก
นายสิทธิพล กล่าวเพิ่มเติมว่า พรรคประชาชนกำลังดำเนินการจัดทำนโยบายเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โดยเชื่อมั่นว่านโยบายที่กำลังเตรียมจะตอบโจทย์ทั้งระยะสั้นและระยะยาว พร้อมมีวิธีการดำเนินการที่ชัดเจน ทั้งนี้ พรรคจะติดตามการดำเนินโครงการคนละครึ่งพลัสอย่างต่อเนื่อง และอาจตั้งกระทู้ถามเพื่อติดตามปัญหาและข้อบกพร่องต่อไป
อรุณี ตันศักดิ์ดา ข่าว/เรียบเรียง
