นายฉลาด ขามช่วง รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่สอง ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนรัฐสภาไทยในการประชุมใหญ่สมัชชารัฐสภาอาเซียน (AIPA) ครั้งที่ 46 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย กล่าวถ้อยแถลงบนเวทีการประชุมใหญ่ดังกล่าว ภายหลังจากประธานสภากัมพูชาได้กล่าวถึงสถานการณ์ความรุนแรงระหว่างไทยและกัมพูชาที่มีการบิดเบือนข้อมูล ว่าในนามของรัฐสภาไทยขอย้ำถึงถ้อยแถลงครั้งนี้ว่ารัฐสภาไทย ไม่ขอทำลายบรรยากาศฉันมิตรของ AIPA โดยการใช้เวทีของฝ่ายนิติบัญญัติเพื่อขยายความชี้แจงข้อมูล หรือตอบโต้ใด ๆ เกี่ยวกับสถานการณ์ระหว่างประเทศ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นล้วนมีหลักฐานเชิงประจักษ์ เพื่อเป็นการรักษาบรรยากาศอันดีงาม ความถ้อยทีถ้อยอาศัยของเพื่อน AIPA รัฐสภาไทยเห็นว่าสถานการณ์ระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งเป็นการบิดเบือนจากฝ่ายกัมพูชาต่อกฎหมายระหว่างประเทศ ทั้งการโจมตีพลเรือน โครงสร้างพื้นฐาน ด้วยการยิงจรวดหลายลำกล้อง BM-21 เข้ามาในพื้นที่ชุมชนของพลเรือนไทย ส่งผลให้พลเรือน ผู้บริสุทธิ์ และเด็กเกิดการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน เกิดการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของเด็ก ซึ่งขัดต่อกฎบัตรสหประชาชาติ อนุสัญญาเจนีวานี กติการะหว่างประเทศ ว่าด้วยสิทธิพลเมือง และสิทธิทางการเมือง ตลอดจนกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก สิทธิคนพิการ การกระทำนี้เป็นอาชญากรรมสงคราม ขัดธรรมนูญกรุงโรม และขัดต่ออนุสัญญาออตตาวาด้วยการวางระเบิดสังหารบุคคล PMN-2 ส่งผลให้ทหารไทยผู้กล้าหาญต้องทุพพลภาพถาวร โดยทุ่นระเบิดดังกล่าวเป็นอาวุธที่กัมพูชามีไว้ครอบครอง ตามรายงานความโปร่งใสของกัมพูชา ซึ่งปัจจุบันไทยไม่มีระเบิดทุ่นระเบิดใดอยู่ในครอบครอง นอกจากนี้ การพบทุ่นระเบิด PMN-2 ที่วางไว้ และยังไม่ถูกใช้งานตามหลักฐานที่ปรากฏเป็นข้อเท็จจริงว่าทหารกัมพูชาได้รับการฝึกฝนการวางทุ่นระเบิดดังกล่าว จึงเป็นที่ชัดเจนว่าทุนระเบิดเหล่านี้ถูกวางโดยกัมพูชา
นายฉลาด กล่าวว่ากัมพูชายังอ้างว่าไทยโจมตีใกล้โบราณสถานปราสาทเขาพระวิหาร ที่อยู่ภายใต้อนุสัญญากรุงเฮก จึงขอเรียนว่าการปฏิบัติการทางทหารของไทยไม่กระทบต่อโบราณสถานดังกล่าว และไทยได้ชี้แจงต่อยูเนสโกเพื่อทราบแล้ว ส่วนกรณีที่ชาวกัมพูชารื้อรั้วลวดหนามที่ฝ่ายไทยติดตั้งบริเวณบ้านหนองหญ้าปล้องจังหวัดสระแก้ว ต้องขอให้ข้อมูลที่แท้จริงว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ในอธิปไตยของไทย และมีความพยายามขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย ทำให้เจ้าหน้าที่บางคนได้รับบาดเจ็บ มีการรื้อถอนสิ่งกีดขวางอันเป็นการละเมิดกฎหมายไทย ไทยจึงจำเป็นต้องเข้าระงับเหตุ ตามหลักสากลและหลักสิทธิมนุษยชน รัฐสภาไทยขอใช้โอกาสนี้ขอบคุณทุกฝ่าย ที่มีความพยายามทำให้สถานการณ์ระหว่างไทยและกัมพูชาคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น ขอย้ำว่าความรุนแรงไม่สร้างประโยชน์อันใดกับประชาชน มีแต่สร้างความเสียหาย ความเจ็บช้ำ และลุกลามบานปลายเป็นรอยแผลในใจที่ไม่สามารถลบเลือนได้ ดังนั้นจึงควรหันหน้าเข้าหากันในการสร้างความปรองดอง ขอยืนยันว่ารัฐสภาไทยจะยึดมั่นหลักการของสหประชาชาติ กฎหมายระหว่างประเทศ และหลักปฏิบัติด้านสิทธิมนุษยชน และหลักการของอาเซียน ไทยสนับสนุนแนวทางแก้ปัญหาข้อพิพาทอย่างสันติวิธีติวิธี ผ่านช่องทางทวิภาคีที่มีอยู่ และไม่ประสงค์จะเป็นคู่ขัดแย้งกับฝ่ายใด เชื่อมั่นว่า AIPA เป็นตัวแทนของประชาชน และสมาชิกรัฐสภาเข้ามาทำหน้าที่ในนามของประชาชน จึงขอยืนยันว่าการใช้วิธีของฝ่ายนิติบัญญัติ จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการส่งเสริมความไว้วางใจ และหาข้อยุติร่วมกันอย่างสันติ และยั่งยืนเพื่อประโยชน์ของประชาชนทั้งสองประเทศต่อไป
อรวรรณ วงศ์จันทรมณี / ข่าว
พีระพงษ์ เจริญภักดี / เรียบเรียง