การประชุมวุฒิสภา ที่มีนายบุญส่ง น้อยโสภณ รองประธานวุฒิสภา คนที่สอง ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม มีวาระพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว โดยนายวิรัตน์ รักษ์พันธ์ ประธานคณะ กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... กล่าวชี้แจงมาตรา 4/1 ถึงปัญหาในทางปฏิบัติที่นำไปสู่การละเมิดสิทธิของพนักงานจ้างเหมาบริการในหน่วยงานราชการ ว่า ปัญหาดังกล่าวเริ่มต้นจากนโยบายลดอัตรากำลังคนภาครัฐในปี 2541 ซึ่งทำให้หน่วยงานราชการหันมาใช้สัญญาจ้างเหมาบริการบุคคลภายนอก แม้หลักการตามกฎหมายพัสดุจะเน้นที่ผลสำเร็จของงาน แต่ในทางปฏิบัติ ส่วนราชการกลับนำสัญญาเหล่านี้มาใช้ในลักษณะของการจ้างแรงงาน โดยมีการ ควบคุม กำกับ ดูแล และสั่งการพนักงานอย่างชัดเจน เช่น กำหนดวันเวลาเข้าออกงาน ลงเวลา และมอบหมายงานประจำ การกระทำดังกล่าวส่งผลให้ พนักงานจ้างเหมาบริการอยู่ในสถานะด้อยสิทธิโดยสิ้นเชิง เนื่องจากไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ขั้นพื้นฐานที่พึงมี ทั้งสิทธิวันลาพักผ่อน หรือสิทธิประกันสังคม เหมือนข้าราชการหรือลูกจ้างประจำ ซึ่งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) ได้มีมติอย่างชัดเจนว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน และขัดต่อหลักความเสมอภาคและหลักการค่าตอบแทนที่เท่าเทียมกัน อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีการหักล้างข้อโต้แย้งทางกฎหมายที่ว่าการจ้างเหมาบริการมีกฎหมายรองรับแล้ว แต่ก็ไม่สอดคล้องกับสาระสำคัญในทางปฏิบัติ นอกจากนี้ คณะกรรมการกฤษฎีกาได้มีความเห็นว่านี่เป็นปัญหาในทางปฏิบัติ ทั้งนี้ การคงมาตรา 4/1 ไว้ จึงไม่ใช่การสร้างกฎหมายใหม่ แต่เป็นการบัญญัติหลักการทางกฎหมายที่มีอยู่แล้วให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่พนักงานที่ถูกละเมิดสิทธิมาอย่างยาวนาน และทางออกที่ยั่งยืนคือรัฐบาลต้องทบทวนกรอบอัตรากำลังและงบประมาณภาครัฐ
นายชินโชติ แสงสังข์ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในฐานะกรรมาธิการเสียงข้างน้อย กล่าวอภิปรายมาตรา 4 แก้ไขวรรคหนึ่ง ของมาตรา 41 ถึงข้อเสนอการขยายวันลาคลอดเป็น 180 วัน ซึ่ง กมธ.เสียงข้างน้อยให้ เพิ่มวันลาคลอดจาก 120 วัน เป็น 180 วัน ว่า ตนยืนยันแนวคิดนี้ เนื่องจากปัจจุบันนายจ้างจ่ายค่าจ้าง 60 วัน และสำนักงานประกันสังคมจ่าย 60 วัน รวมเป็น 120 วัน ข้อเสนอ 180 วันของตน คือ นายจ้างยังคงจ่าย 60 วันเท่าเดิม แต่สำนักงานประกันสังคมจะจ่ายเพิ่มอีก 120 วัน รวมเป็น 180 วัน ซึ่งตนมั่นใจว่าสำนักงานประกันสังคมสามารถจ่ายได้ สำหรับเหตุผลสนับสนุนการเพิ่มวันลาคลอดเป็น 180 วัน คือ องค์การอนามัยโลก (WHO) และองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) แนะนำให้ทารกดื่มนมแม่อย่างเดียวอย่างน้อย 180 วัน หรือ 6 เดือน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อพัฒนาการทางสมอง สติปัญญา ภูมิคุ้มกันโรค และสุขภาพของแม่ รวมทั้งยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อนมผง เมื่อเทียบว่าประเทศเวียดนาม รัฐบาลก็กำหนดให้วันลาคลอด 180 วันแก่ลูกคนงาน และจึงกล่าวว่าประเทศด้อยพัฒนาเท่านั้นที่ให้น้อยกว่า 180 วัน การตั้งครรภ์ไม่ใช่ภาระ แต่เป็นความงดงามของการสืบพันธุ์เพื่อบุคลากรของโลก อย่างไรก็ตาม ตนจำเป็นต้องไม่ติดใจในประเด็นนี้ เพื่อไม่ให้ร่างกฎหมายฉบับนี้ต้องล่าช้าออกไป เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองที่อาจมีการยุบสภาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ส่งผลให้วันลาคลอด 120 วันจะยังคงอยู่ตามร่างเดิมที่เสนอ
ด้านนางอังคณา นีละไพจิตร สว. ที่สงวนคำแปรญัตติ กล่าวย้ำว่า การลาคลอด 180 วัน ยังคุ้มครองกรณีแม่มีภาวะซึมเศร้าหลังคลอด (Postpartum Depression) ซึ่งกฎหมายแรงงานไทยยังไม่ได้กำหนดสิทธิพิเศษเพิ่มเติม และสอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กและอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีทุกรูปแบบ (CEDAW) รวมถึงแนวปฏิบัติในประเทศอย่างฟินแลนด์ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ที่อนุญาตให้ขยายการลาเพื่อดูแลสุขภาพจิตของแม่ แม้ไม่ใช่แม่ทุกคนจะใช้สิทธิ 180 วันเต็มเนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจ แต่การรับประกันสิทธิขั้นพื้นฐานนี้เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ตรากฎหมายควรตระหนัก
ภายหลังจากที่ประชุมวุฒิสภา ได้อภิปรายอย่างกว้างขวางครบทุกมาตราแล้ว ได้ลงมติในวาระสาม ร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ผลปรากฎว่า มีผู้ลงคะแนนเสียงเห็นด้วย 125 เสียง ไม่เห็นด้วย ไม่มี งดออกเสียง 5 เสียง ไม่ลงคะแนน 1 เสียง ที่ประชุมวุฒิสภาเห็นชอบด้วยกับสภาผู้แทนราษฎรในการพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าว พร้อมทั้งมีมติเห็นชอบด้วยกับข้อสังเกตของคณะ กมธ.
ณัฐพล สงวนทรัพย์ ข่าว/เรียบเรียง