นางอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา (สว.) อภิปรายต่อร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ในส่วนหน่วยงานด้านความมั่นคง ว่า กองทุนยุติธรรม มีงบประมาณที่จะจัดสรรเพื่อให้ความช่วยเหลือด้านค่าใช้จ่าย ๆ ของประชาชนในการต่อสู้คดี ซึ่งมีส่วนสำคัญในการจะลดความเหลื่อมล้ำในกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้ประชาชนมีความเท่าเทียมทางกฎหมาย สอดคล้องกับหลักการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา แต่ในทางปฏิบัติกองทุนยุติธรรมอนุมัติเงินกู้ยืมเพื่อการประกันตัวน้อยมาก เกิดปัญหาผู้ต้องขังล้นคุก ซึ่งกองทุนฯ นี้ไม่ได้รับการจัดสรรเงินอุดหนุนจากงบประมาณรายจ่ายเป็นประจำทุกปี จะได้รับการจัดสรรก็ต่อเมื่อสถานะของกองทุนมีเงินสดที่จะใช้ตามวัตถุประสงค์ไม่เพียงพอ เช่น ในปี 2567 กองทุนฯ ไม่ได้ของบประมาณ แต่ปี 2568 และ 2569 ขอ งบประมาณ 160 ล้านบาท แต่มีข้อสังเกตเนื่องจากกองทุนฯ มีประมาณการค่าใช้จ่ายไว้ค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับจำนวนเงินที่ได้รับอนุมัติให้กับประชาชนที่ขอรับ พบว่าปี 2567 มีผู้ยื่นขอ 4,513 ราย ได้รับการอนุมัติเพียง 2,567 ราย โดยการอนุมัติเงินของกองทุนฯ ให้ประชาชนในภาพรวมโดยเฉลี่ย 55.56% ซึ่งมีประชาชนร้องเรียน กสม. เรื่องการเข้าถึงกองทุนฯ เมื่อเดินเมษาายนที่ผ่นมา พบว่า ผู้ขอรับความช่วยเหลือมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่สัดส่วนของผู้ได้รับการอนุมัติ และเข้าถึงกองทุนฯ ยังคงอยู่ที่ 55% สะท้อนให้เห็นข้อจำกัดในกระบวนการพิจารณาคำขอ และการอนุมัติตามคำขอ โดยเฉพาะหลักเกณฑ์การพิจารณาคุณสมบัติต่าง ๆ ของผู้ยื่นคำขอรับความช่วยเหลือ ซึ่งเข้มงวดมากเกินไปสะท้อนให้เห็นถึงความไม่เท่าเทียม ในการใช้ดุลพินิจตีความอย่างกว้าง ไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ อีกทั้งมีระเบียบในการให้ความช่วยเหลือ ว่า "ต้องไม่กระทบต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน" ทำให้คณะกรรมการจะตีความไม่อนุมัติให้ความช่วยเหลือประชาชนได้ โดยเห็นว่ากระทรวงยุติธรรมควรจะปรับปรุงในการจัดสรรงบประมาณของกองทุนฯ ที่ไม่ใช่ว่าขอไปแล้ว แต่ว่าไม่ได้นำไปใช้เพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง
ส่วนงบประมาณของสถาบันอนุญาโตตุลาการ หน่วยงานที่ไม่สังกัดกระทรวงยุติธรรม แต่อยู่ในการกำกับดูแลของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มีภาระหน้าที่ไกล่เกลี่ยเฉพาะคดีแพ่ง คดีธุรกิจ ไม่เป็นประโยชน์กับประชาชนทั่วไป โดยมีอำนาจเรียกเก็บเงินเองได้ ไม่ต้องนำส่งคลัง แต่แม้จะมีรายได้เป็นของตัวเอง แต่ก็ยังมีการขอรับงบประมาณ จากรัฐอีก โดยปี 2569 สถาบันฯ ขอรับงบประมาณ 46.47 ล้านบาท และหากดูโครงการต่าง ๆ ของสถาบันฯ ส่วนมากจะเป็นการสัมมนาอบรม ความร่วมมือกับต่างประเทศ ขณะเดียวกันหากเทียบกับสถาบันอนุญาโตตุลาการ สำนักงานศาลยุติธรรม จะพบว่าประชาชนให้ความไว้วางใจมากกว่า จึงเห็นว่าควรพิจารณาว่าทั้ง 2 หน่วยงาน ซ้ำซ้อนกันหรือไม่ หรือจะทำอย่างไรให้มีประสิทธิภาพที่ดี เข้าถึงประชาชนได้มากขึ้น ทั้งนี้ มีข้อสังเกตว่าสถาบันฯ นี้ ไม่ได้ยึดโยงกับประชาชน
ขณะที่งบประมาณแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ซึ่งมีโครงการอำนวยความยุติธรรมที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ มี 2 โครงการ โดยโครงการที่ 2 DSI ไม่ได้ระบุรายละเอียดใด ๆของโครงการ อธิบายเพียงว่าเป็นโครงการบูรณาการเพื่อแก้ปัญหาหรือลดบทบาทของกลุ่มผู้มีความเห็นต่างในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยใช้เครือข่ายภาคประชาสังคม ข้อมูลด้านการข่าว ซึ่งของบประมาณ 4.7 ล้านบาท ปัญหาคือขอรับงบประมาณ แต่ไม่แจกแจงรายละเอียด โดยก่อนหน้านี้ได้สอบถามอธิบดี DSI เรื่องการลดบทบาทของผู้เห็นต่าง แต่ไม่มีคำอธิบาย และไม่มีการส่งเอกสารเพิ่มเติม จึงคิดว่าโครงการที่ไม่มีรายละเอียด ไม่สมควรที่จะได้รับการจัดสรรงบประมาณ
และสุดท้าย สำนักงานศาลยุติธรรม ซึ่งที่ผ่านมาต้องชื่นชมศาลยุติธรรมที่พยายามดำเนินคดีของประชาชนในศาลชั้นต้นได้อย่างรวดเร็ว แต่ชั้นอุทธรณ์ ยังมีคดีค้างเก่าและรับใหม่ มีจำนวนที่พิจารณาคดีเสร็จแล้วไม่ถึงครึ่ง ซึ่งผู้แทนศาลยุติธรรม ได้ให้ข้อมูลว่า ศาลมีข้อจำกัดทั้งเรื่องงบประมาณค่าใช้จ่าย รวมถึงงบประมาณทรัพยากรบุคคลด้วย จะเห็นว่ามีความสำคัญ และปัจจุบันนอกจากคดียาเสพติดยังมีคดีฟ้องร้องกลั่นแกล้ง หรือ SLAPP ที่เป็นภาระกับประชาชน จึงเห็นว่าสำนักงบประมาณสมควรที่จะพิจารณาจัดสรรงบประมาณ ให้อย่างเป็นธรรม เพียงพอ และทั่วถึง
นางอังคณา ระบุทิ้งท้ายว่า ในภาพรวมเรื่องของการจัดสรรงบประมาณ ซึ่งเป็นงบประมาณเฉพาะที่เกี่ยวกับเพศและความแตกต่างของบุคคล โดยมติ ครม. เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2564 ให้มีแนวทางการจัดทำงบประมาณคำนึงถึงมิติเพศภาวะ แต่การจัดทำงบประมาณปี 2569 ยังไม่พบ จึงอยากฝากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะสอดคล้องกับสหประชาชาติ และแสดงให้เห็นถึงเจตจำนงของรัฐบาลไทยในการสร้างความเท่าเทียมเรื่องเพศ
ทัดดาว ทองอิ่ม ข่าว / เรียบเรียง
