นายนรเศรษฐ์ ปรัชญากร ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิ เสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา พร้อมด้วยคณะกมธ. แถลงข่าวถึงผลการประชุมกมธ.เพื่อพิจารณาประเด็นโครงการแลนด์บริดจ์ (land bridge) และระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ หรือ Southern Economic Corridor (SEC) ว่าวานนี้ (19 ส.ค. 68) คณะกมธ.ได้เชิญหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องและตัวแทนประชาชนจากจังหวัดชุมพรและจังหวัดระนองมาชี้แจงเกี่ยวกับโครงการ land bridge ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่และมีผลกระทบต่อประชาชนจำนวนมากในภาคใต้ โดยที่มาของการเชิญหน่วยงานมาชี้แจงครั้งนี้เนื่องจากเมื่อวันที่ 13 สิงหาคมที่ผ่านมา มีประชาชนในพื้นจังหวัดระนองและจังหวัดชุมพร มายื่นหนังสือต่อคณะกมธ.เกี่ยวกับปัญหาในการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นครั้งที่ 3 ของรายงานการประเมินผลการกระทบสิ่งแวดล้อมระดับร่าง หรือ EHIA ของโครงการท่าเรือน้ำลึก 2 แห่ง ได้แก่ อ่าวอ่างจังหวัดระนอง และแหลมริ่ว จังหวัดชุมพร ซึ่งสาระสำคัญของข้อเรียกร้องของประชาชนมี 5 ประเด็น ประกอบด้วย 1.กระบวนการทำรายงาน EHIA ด้อยมาตรฐานทั้งทางวิชาการและการมีส่วนร่วมของประชาชน 2.ขาดการประเมินผลกระทบเชิงยุทธศาสตร์ หรือ (Strategic Environmental Assessment : SEA) 3.หน่วยงานรัฐไม่เปิดรับข้อเสนอจากนักวิชาการและผู้ประกอบการด้านโลจิสติกส์อย่างเพียงพอ 4.รายงาน EHIA ที่ถูกเผยแพร่ยังมีข้อมูลหลายส่วนที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง และ 5.การเปิดรับฟังความคิดเห็นครั้งที่ 3 มีข้อผิดพลาดและข้อบกพร่องหลายประการ
นายนรเศรษฐ์ กล่าวต่อไปว่าหน่วยงานรัฐที่ทางคณะกมธ. เชิญมาให้ข้อมูล ได้แก่ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) รวมถึงส่วนราชการในจังหวัดที่เกี่ยวข้องและประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมฟังการชี้แจง ทั้งนี้จากการรับฟังการชี้แจงแม้จะยังไม่ได้มติของคณะกมธ. แต่มีความเห็นร่วมกันของคณะกมธ.อยู่หลายประการ อาทิ จำเป็นต้องมีการทำ SEC ที่ครอบคลุมโปร่งใส และเข้มข้นทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตของชุมชน โดยจะไม่เป็นการพิจารณาโครงการในโครงการใดโครงการหนึ่งแต่ต้องทำทั้งภาพรวมของโครงการ land bridge เพื่อประเมินผลกระทบสะสมและผลกระทบข้ามเขตแดนที่ไม่ใช่ในเชิงพื้นที่เฉพาะโครงการ การยกระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนให้เข้าถึงได้อย่างโปร่งใสและครอบคลุมโดยเฉพาะกลุ่มประมงพื้นบ้านแรงงาน และผู้ประกอบการท่องเที่ยว การพิจารณาความคุ้มค่าในเชิงเศรษฐกิจไปพร้อมกับต้นทุนด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม และมาตรการเยียวยาที่เป็นธรรมอย่างแท้จริง เช่น การตั้งกองทุนเยียวยาความเสียหาย กองทุนพัฒนาคุณภาพชีวิตและระบบกำกับติดตามที่ประชาชนสามารถร่วมออกแบบและมีสิทธิร่วมตรวจสอบได้ การนำบทเรียนจากการพัฒนาในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกหรือ EEC ที่เกิดขึ้นแล้วมาใช้เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำรอย เช่น เรื่องกฎหมายลำดับรองที่ล่าช้าและการซ้อนทับทางอำนาจของหน่วยงานต่าง ๆ รวมถึงการสื่อสารที่ไม่ทั่วถึง
นายนรเศรษฐ์ กล่าวเพิ่มเติมว่ามีประเด็นที่หน่วยงานของรัฐยังเห็นต่างกันอยู่ เช่น เรื่องกระบวนการรับฟังความคิดเห็นที่ สนข.ยืนยันว่าได้จัดทำครบถ้วนแล้ว แต่ประชาชนในพื้นที่กลับระบุว่าการรับฟังยังไม่ทั่วถึงและไม่เกิดความหมายที่แท้จริง เรื่องความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจที่ สนข. ยืนยันว่ามีความคุ้มค่า แต่สภาพัฒน์ฯ และงานวิจัยบางส่วนกลับชี้ว่าโครงการดังกล่าวไม่ได้มีความคุ้มค่า ส่วนเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สนข.ชี้ว่ามีมาตรการรองรับแต่ทางกลุ่มประมงพื้นบ้านยังมีความกังวลว่าจะกระทบระบบนิเวศชายฝั่งและความเสี่ยงเรื่องอาจจะเป็นเขตเศรษฐกิจมลพิษได้ นอกจากนี้ยังมีเรื่องกฎหมายการจัดตั้งระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ ที่หน่วยงานรัฐมองว่าเป็นกรอบพัฒนาที่จำเป็นแต่ประชาชนหลายฝ่ายมองว่ายังไม่เหมาะสมกับบริบทของภาคใต้และอาจเกิดการละเมิดสิทธิชุมชนได้ อย่างไรก็ตามคณะกมธ. มองว่าโจทย์สำคัญของเรื่องนี้ คือการหาสมมติฐานหรือวิธีการศึกษาที่สร้าง Common Good หรือผลประโยชน์ร่วมกันให้ได้รับการยอมรับจากทุกฝ่ายโดยคำนึงถึงมิติด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม คุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่และมิติอื่น ๆ ซึ่งแนวทางที่สำคัญที่ต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่งนั่นคือการมีส่วนร่วมของประชาชนในทุกกระบวนการ โดยสิ่งที่คณะกมธ.จะดำเนินการต่อไปมี 2 ส่วนสำคัญ คือวันที่ 5 กันยายนนี้ คณะกมธ.จะจัดเวทีเสวนาเรื่องการมีส่วนร่วมของประชาชนในโครงการขนาดใหญ่ ณ สถานีโทรทัศน์ Thai PBS เพื่อให้ทุกฝ่ายได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกันอย่างเปิดเผย และในวันที่ 12-14 กันยายน คณะกมธ.จะลงพื้นที่จังหวัดชุมพร และระนอง เพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ต่อไป
ณัฐเดช เอียดปุ่ม /ข่าว /เรียบเรียง